เมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2560 บริษัท มัดแมน จำกัด (มหาชน) หรือ 'MM' ได้ลงนามในสัญญาแต่งตั้งบริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุน (IPO) และแต่งตั้งบริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จำกัด บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด บริษัทหลักทรัพย์ อาร์เอชบี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ เคทีบี (ประเทศไทย) จำกัด และบริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด เป็นผู้ร่วมการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้น
นายมนตรี ศรไพศาล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.หลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) ในฐานะผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุน เปิดเผยว่า หลังจากบริษัทฯ นำเสนอข้อมูลต่อนักลงทุนสถาบันเมื่อวันที่ 15-17 มี.ค.ที่ผ่านมา พบว่านักลงทุนสถาบันมีความมั่นใจในพื้นฐานธุรกิจและศักยภาพการเติบโตของ บมจ.มัดแมน จึงกำหนดช่วงราคาเสนอขายหุ้น IPO ของ MM ในเบื้องต้นที่ 5.00-5.50 บาทต่อหุ้น โดยราคาเสนอขายสุดท้ายจะกำหนดโดยพิจารณาจากราคาและจำนวนหุ้นที่นักลงทุนสถาบันเสนอความต้องการซื้อเข้ามา (Book Building) ซึ่งคาดว่าจะสามารถประกาศราคาเสนอขายสุดท้ายได้ภายในวันที่ 31 มี.ค. โดยเตรียมเปิดให้ผู้ถือหุ้นของ บมจ.ทรัพย์ศรีไทย (SST) เฉพาะกลุ่มที่มีสิทธิได้รับการจัดสรรหุ้น ตามที่ปรากฏรายชื่อในสมุดทะเบียนผู้ถือหุ้น ณ วันที่ 16 มีนาคม 2560 ซึ่งเป็นวันกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นของ SST ที่มีสิทธิจองซื้อหุ้น จองซื้อตามสัดส่วนการถือหุ้นใน SST ในวันที่ 29-31 มี.ค. โดยผู้ถือหุ้นเดิมของ SST เฉพาะกลุ่มที่มีสิทธิได้รับการจัดสรรหุ้นดังกล่าวจะต้องจองซื้อหุ้นที่ราคาจองซื้อเบื้องต้นหุ้นละ 5.50 บาท และหากราคาเสนอขายสุดท้ายที่จะเสนอขายในครั้งนี้ต่ำกว่าราคาจองซื้อเบื้องต้นดังกล่าว ผู้จัดการการจัดจำหน่ายจะดำเนินการคืนเงินค่าจองซื้อหุ้นส่วนต่างให้ในภายหลัง และเตรียมเปิดให้ประชาชนและนักลงทุนสถาบันจองซื้อในวันที่ 3-5 เม.ย. โดยจองซื้อที่ราคาเสนอขายสุดท้ายเลย และคาดว่า MM จะเข้าทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ ได้ภายในเดือน เม.ย.
ปัจจุบัน บมจ.มัดแมน มีทุนจดทะเบียน 1,054,903,750 บาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญจำนวน 1,054,903,750 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 1 บาท จะเสนอขายหุ้น IPO จำนวน 210,980,750 หุ้น คิดเป็นร้อยละ 20 ของจำนวนหุ้นที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนในครั้งนี้ โดยแบ่งการเสนอขายเป็น 2 ส่วน ส่วนแรกจะเสนอขายแก่ผู้ถือหุ้นของ SST เฉพาะกลุ่มที่มีสิทธิได้รับการ (Pre-emptive Right) ไม่เกิน 41,437,135 หุ้น หรือคิดเป็นไม่เกินร้อยละ 20 ของจำนวนหุ้นสามัญเพิ่มทุนในครั้งนี้ และส่วนที่สองจะเสนอขายแก่ประชาชนและนักลงทุนสถาบันไม่เกิน 169,543,615 หุ้น หรือไม่เกินร้อยละ 80 ของจำนวนหุ้นสามัญเพิ่มทุนในครั้งนี้ และหุ้นส่วนที่เหลือทั้งหมดจากการเสนอขายให้แก่ผู้ถือหุ้นของ SST
ทั้งนี้ บมจ.มัดแมน เป็นผู้นำธุรกิจอาหารและไลฟ์สไตล์แบรนด์ระดับโลก โดยดำเนินธุรกิจในลักษณะโฮลดิ้ง คอมปานี ที่เข้าถือหุ้น 100% ในบริษัทย่อย ในธุรกิจ 2 กลุ่มคือ 1.ธุรกิจร้านอาหารและเครื่องดื่ม ทั้งที่ดำเนินกิจการภายใต้สัญญามาสเตอร์แฟรนไชส์กับต่างประเทศ ได้แก่ ดังกิ้น โดนัท โอ บองแปง และบาสกิ้นร็อบบิ้นส์ และที่ดำเนินกิจการภายใต้แบรนด์ของตนเอง ได้แก่ เกรฮาวด์ คาเฟ่ และครัวเอ็ม และ 2.ธุรกิจไลฟ์สไตล์ ภายใต้แบรนด์ 'เกรฮาวด์' ได้แก่ เสื้อผ้าแฟชั่น รองเท้า เครื่องประดับ รวมถึงความร่วมมือกับแบรนด์อื่น ๆ เพื่อสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ภายใต้คอนเซ็ปที่โดดเด่นและเป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์ 'เกรฮาวด์'
"ถึงแม้ว่า บมจ.มัดแมน มีผลการดำเนินงานขาดทุนสุทธิในปี 59 แต่เป็นการขาดทุนที่เกิดจากการตัดค่าจำหน่ายสินทรัพย์ที่ไม่มีตัวตนที่ได้มาจากการเข้าซื้อกิจการและการด้อยค่าของสินทรัพย์ ซึ่งเป็นการขาดทุนทางบัญชีเท่านั้น ดังนั้นจึงมั่นใจว่าด้วยพื้นฐานธุรกิจที่แข็งแกร่งและมีแบรนด์สินค้าเป็นที่รู้จักรวมถึงได้รับความนิยมจากผู้บริโภค จะทำให้ บมจ.มัดแมน มีศักยภาพการเติบโตที่ดี" นายมนตรี กล่าว
นายนาดิม ซาเวียร์ ซาลฮานี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.มัดแมน หรือ MM กล่าวว่า ว่า ณ วันที่ 31 ธันวาคม2559 ธุรกิจร้านอาหารและเครื่องดื่มและธุรกิจไลฟ์สไตล์ของบริษัทฯ มีสาขารวม 456 สาขา แบ่งเป็นธุรกิจร้านอาหารและเครื่องดื่มที่ดำเนินกิจการภายใต้สัญญามาสเตอร์แฟรนไชส์ 3 แบรนด์ ได้แก่ 1.ดังกิ้น โดนัท จำนวน 307 สาขา เพื่อผลิตและจำหน่ายโดนัทและเครื่องดื่ม รวมถึงมีบริการจัดเลี้ยง 2.โอ บองแปง จำนวน 72 สาขา เพื่อจำหน่าย เบเกอรี่ แซนด์วิช สลัด ซุป ที่เป็นเมนูเพื่อสุขภาพ กาแฟระดับพรีเมียมและเครื่องดื่มอื่น ๆ และ 3.บาสกิ้นร็อบบิ้นส์ มีจำนวน 34 สาขา ที่จำหน่ายไอศกรีมนำเข้าระดับพรีเมียมที่คนไทยเข้าถึงได้
ส่วนธุรกิจร้านอาหารและเครื่องดื่มที่ดำเนินงานภายใต้แบรนด์ของตนเอง ได้แก่ 1.เกรฮาวด์ คาเฟ่ (Greyhound Cafe) ซึ่งเป็นร้านอาหารประเภท Full Service Restaurant ในสไตล์แฟชั่นคาฟ่ มีทั้งหมด 28 สาขา แบ่งเป็นสาขาในไทยที่บริษัทฯ ลงทุนเอง ประกอบด้วย 'ร้านเกรฮาวด์ คาเฟ่' และ 'ร้านอนาเธอร์ฮาวด์' (Another-hound) รวม 14 สาขา และการขายแฟรนไชส์ 'ร้านเกรฮาวด์ คาเฟ่' ในต่างประเทศ ได้แก่ จีน ฮ่องกง มาเลเซีย และสิงคโปร์ รวม 14 สาขา และ 2.ครัวเอ็ม ซึ่งเป็นธุรกิจรับบริหารศูนย์อาหารในโรงพยาบาล (Cafeteria) และบริการอาหารสำหรับผู้ป่วยใน (IPD Food Services) จำนวน 1 สาขา โดยเริ่มต้นดำเนินธุรกิจดังกล่าวที่โรงพยาบาลรามคำแหงและมีแผนขยายธุรกิจไปยังสถานที่อื่น ๆ นอกจากโรงพยาบาล เช่น โรงเรียนเอกชน โรงเรียนนานาชาติ เป็นต้น
ขณะที่ธุรกิจไลฟ์สไตล์ เน้นจำหน่ายสินค้าไลฟ์สไตล์ เช่น เสื้อผ้า รองเท้า เครื่องประดับ ฯลฯ มีช่องทางจำหน่าย 4 ส่วนคือ การกระจายสินค้าผ่านห้างสรรพสินค้าหรือโมเดิร์นเทรด การจัดจำหน่ายผ่านช่องทางออนไลน์ ช่องทาง Factory Outlet และการส่งออกต่างประเทศ โดยมีร้านของตนเองในห้างสรรพสินค้าชั้นนำในกรุงเทพฯ และปริมณฑลรวม 14 สาขา
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร MM กล่าวว่า บริษัทฯ มีวิสัยทัศน์ที่จะเป็นบริษัทชั้นนำในธุรกิจร้านอาหารและเครื่องดื่ม รวมถึงมีเป้าหมายที่จะเป็นผู้นำในธุรกิจร้านอาหารและเครื่องดื่มอย่างยั่งยืน โดยจะมุ่งเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดและผลักดันการเติบโตในอัตราที่สูงกว่าตลาดรวม ดังนั้น จึงมีแผนขยายธุรกิจที่ดำเนินการภายใต้แบรนด์ของตนเองและภายใต้สิทธิมาสเตอร์แฟรนไชส์จากต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ บริษัทฯ จะขยายการลงทุนในธุรกิจร้านอาหารเกรฮาวด์ คาเฟ่ โดยวางแผนขยายสาขาในประเทศไทยเพิ่มขึ้นอีก 6-9 สาขา รวมเป็น 19-22 สาขาภายในปี 2563 คาดว่าใช้เงินลงทุนสาขาละ 15-20 ล้านบาท ส่วนการขยายสาขาผ่านสัญญาแฟรนไชส์ในต่างประเทศ ได้แก่ จีน ฮ่องกง มาเลเซีย และสิงคโปร์ ในสัญญาได้ระบุให้ผู้ได้รับสิทธิจะต้องเปิดร้านเกรฮาวด์ คาเฟ่ ให้ได้ 5 สาขาตลอดอายุสัญญาแฟรนไชส์ 5 ปี ขณะเดียวกัน บริษัทฯ ได้ตั้งเป้าขยายการให้สิทธิแฟรนไชส์ในประเทศใหม่เพิ่มขึ้นทุกปี ๆ ละ 1-2 ประเทศ
นอกจากนี้ จะลงทุนขยายธุรกิจร้านเกรฮาวด์ คาเฟ่ ในภูมิภาคอื่น ๆ โดยเฉพาะยุโรป โดยจดทะเบียนจัดตั้ง GHC Cafe (UK) Co.,Ltd ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบริษัท เกรฮาวด์ คาเฟ่ จำกัด เพื่อพัฒนาธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มในอังกฤษ โดยจะลงทุนร้านเกรฮาวด์ คาเฟ่แห่งแรกที่อังกฤษเพื่อเป็น Flagship Store ภายใต้คอนเซ็ป 'Basic with a Creative Twist' ในการขยายสาขาผ่านการให้สิทธิแฟรนไชส์ในยุโรปต่อไป
ส่วนธุรกิจที่ดำเนินงานภายใต้สัญญามาสเตอร์แฟรนไชส์ ได้แก่ ดังกิ้น โดนัท โอ บอง แปง และบาสกิ้น รอบบิ้นส์ บริษัทฯ ยังคงเดินหน้าต่อเนื่อง โดยมีแผนขยายสาขาเพิ่มขึ้นแบรนด์ละ 12-15 สาขาต่อปี 5-6 สาขาต่อปี และ 3-5 สาขาต่อปีตามลำดับ ส่งผลให้ ณ สิ้นปี 2563 คาดว่าร้านดังกิ้น โดนัท โอ บอง แปง และบาสกิ้น รอบบิ้นส์ จะมีสาขาเพิ่มขึ้นเป็น 355 สาขา 96 สาขา และ 54 สาขาตามลำดับ