สำหรับไอเฟคแล้ว ปัญหาเฉพาะหน้าในเวลานี้ คือ "หนี้"ที่มีอยู่ประมาณ 6 พันล้านบาท เป็นหนี้ตั๋วเงินระยะสั้น 3 พัน และหุ้นกู้อีก 3 พันล้านบาท โดยหนี้ระยะสั้นกว่า 3 พันล้านบาทคือหุ้นกู้ที่กำลังจะหมดอายุพฤศจิกายนนี้
"วิชัย" กล่าวว่า "ก่อนอื่นมาว่ากันเรื่องของการบริหารก่อน เพราะถ้าไขกุญแจเปิดประตูบานนี้ไม่ได้ก็แก้ไขปัญหาไม่ได้ กลุ่มคนกลุ่มหนึ่งพยายามตีรวนในเรื่องนี้ เพราะรู้ว่าเรื่องนี้เป็นกุญแจสำคัญ ก็ต้องถามกลับไปตรงๆ ว่า ข้อเรียกร้องให้ประธาน(วิชัย) ลาออก ประธานทำอะไรผิด ทุกคนมีหน้าที่ทำงาน แล้วตัวประธานเองมีหน้าที่รับผิดชอบ เรื่องอะไรต่อมิอะไรก็แล้วแต่ เป็นเรื่องของผู้บริหารชุดเดิม และเป็นผมที่เข้ามาแก้ ส่วนเรื่อง"โรงแรมดาราเทวี" ที่หลายคนมองว่าเป็นมูลเหตุแห่งหนี้ที่สำคัญอย่างมีนัยยะผมบอกเลยว่า เรื่องโรงแรมดาราเทวี หากมีการบริหารจัดการที่ดี ธุรกิจโรงแรมดาราเทวี ก็สามารถสร้างรายได้ให้แก่ไอเฟคอีกด้านหนึ่งเช่นกัน แต่ก็ยอมรับว่า การเข้าลงทุนในโรงแรมดังกล่าวใช้เงินลงทุนราว 4,000 ล้านบาท และมีภาระดอกเบี้ยราว 175 ล้านบาท ขณะที่อิบิด้าอยู่ที่ 110 ซึ่งติดลบอยู่ ดังนั้นก็มีแผนที่จะทยอยแบ่งขายบางส่วนที่เราไม่มีความถนัดในการทำธุรกิจเพื่อนำมาชำระหนี้
ต่อยอดไปถึงเรื่องของการระดมทุนมาเพื่อแก้ไขปัญหาหนี้ผมทำแล้ว ผมเดินหน้าในการมุ่งเน้นสร้างรายได้ในธุรกิจหลัก คือ ธุรกิจพลังงาน ประกอบด้วย พลังงานโซลาร์ฟาร์ม พลังงานลม และพลังงานขยะ ซึ่งธุรกิจทั้ง 3 ส่วนนี้ ไอเฟคมีความเชื่อมั่นว่าจะสามารถสร้างรายได้ให้บริษัทอย่างต่อเนื่อง ทำให้ไอเฟคสู่การเป็นบริษัทพลังงานครบวงจร ที่เป็นโอกาสดีเพราะเป็นธุรกิจที่กำลังบูมไปทั่วโลก
นอกจากนี้ ยังมีโครงการโซลาร์ฟาร์มสหกรณ์ ซึ่งบริษัทสามารถเข้าร่วมประมูลได้ และไอเฟคก็มีความพร้อมที่จะเข้าร่วมประมูล รวมถึงโครงการบริหารจัดการระบบไฟฟ้าให้มีประสิทธิภาพ หรือสมาร์ทกริด (Smart Grid) และยังเห็นโอกาสในการดำเนินธุรกิจ การจัดระบบแบบสมาร์ทซิตี้ (Smart City) ซึ่งในส่วนธุรกิจนี้ ประกอบด้วย การระบบจัดการไฟฟ้า ระบบประปา และระบบสื่อสาร โดยเป็นการวางกรอบธุรกิจเพื่อขยายสู่ตลาดซีแอลเอ็มวี หรือเศรษฐกิจในลุ่มแม่น้ำโขง และในส่วนของธุรกิจการรับงานก่อสร้าง ในนามของบริษัทไอคอน ก็เร่งเดินหน้าเจรจากับพันธมิตรในการรับงานให้กับไอคอน รุกหารายได้ให้ไอเฟคอีกทางหนึ่ง เพื่อให้ไอเฟคกลับมาเป็นธุรกิจพลังงานแบบครบวงจร และไม่ได้มองแค่ในประเทศแต่มองไปถึงระดับภูมิภาคกันเลย"
"วิชัย" ย้ำ พร้อมกล่าวถึง แนวคิดและสิ่งที่ต้องเผชิญอยู่ ณ ขณะนี้ กับปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นในไอเฟคอีกว่า "สุดท้าย เมื่อมีกลุ่มทุนเพลินจิตที่ผมดีลเข้ามา คำตอบของปัญหาที่กล่าวมาในสองด้าน คือปัญหาเรื่องเก่าๆ ภายในไอเฟค ทั้งเรื่องการบริหาร เรื่องหนี้ และเรื่องที่กระทบต่อนักลงทุนอย่างการขึ้นเครื่องหมาย SP ก็น่าจะแก้ไขได้ไม่ยาก รวมไปถึงเรื่องอนาคตแผนการในอนาคตของไอเฟค
แต่สำหรับผมแล้ว ถ้าต้องเผชิญหน้ากับปัญหาต่างๆ แล้วจะเป็นยังไง ผมยืนยันเลยว่า ผมยังสู้ สู้เพื่อไอเฟค ทรัพย์สินของไอเฟคมีมากกว่าหนี้สิน เส้นทางธุรกิจของไอเฟคสอดรับกับกระแสโลกเรื่องของพลังงานทดแทน นี่แหละคือกุญแจ นี่แหละคือคำตอบ และผมก็พยายามทำสิ่งนั้นอยู่ ผมสร้างไอเฟคขึ้นมา ผมรักที่นี่เหมือนลูกคนหนึ่ง ซึ่งเมื่อลูกเดินหลงทาง คนเป็นพ่อเป็นแม่ก็ควรจะได้รับโอกาสให้แก้ไข และผมก็เชื่อว่าหลายคนก็รักไอเฟค และพร้อมที่จะเข้ามาร่วมกันแก้ไข เพราะฉะนั้นไม่มีเวลามายื้อกันแล้ว ตอนนี้ต้องของจริงขอความร่วมมือตรงนี้แล้ว หันหน้ามาร่วมกันแก้ไขปัญหาแล้วเดินหน้าอย่างคอมบิซิเนส ทุ่มเทเพื่อไอเฟคด้วยกัน ผมยังสู้ และพร้อมจะทำให้มันดีขึ้น"
ทั้งหมดนี้ สะท้อนภาพของความพยายามจัดการหนี้ไอเฟค แน่นอนว่าสิ่งที่ "วิชัย" มีอยู่มือขณะนี้ คือ "กลุ่มทุนเพลินจิต" ที่เปรียบเสมือนกระเป๋าเงินที่จะเข้ามาแก้ไขปัญหาต่างๆ
บทสรุปสุดท้ายของปัญหาในไอเฟคบนคำถามที่เกิดขึ้น ถ้าเกิดขึ้นได้จริงแน่นอนว่าจะเข้าสู่ห้วงเวลาการ "พลิกโฉม" ครั้งสำคัญของไอเฟค ที่แม้ว่าจะเป็นเพียงแสงสว่างปลายอุโมงค์ แต่ก็มองเห็นเป็นเส้นทางแห่งการเดินหน้าอย่างมีแบบแผน เพื่อให้ก้าวไปสู่มิติใหม่ "ไอเฟคแห่งอนาคต"