ผลสำรวจจากแมนูไลฟ์เผย นักลงทุนชาวไทยเผชิญค่าใช้จ่ายหลังเกษียณที่สูง แม้จะมีการวางแผนการเงินที่ดี

จันทร์ ๐๓ เมษายน ๒๐๑๗ ๑๗:๐๓
- ราวครึ่งหนึ่ง (51%) ของนักลงทุนเชื่อว่าพวกเขาออมเงินได้ตามเป้าหรือเกินเป้าที่ตั้งไว้

- นักลงทุนส่วนใหญ่ (79%) เชื่อว่า เมื่อเกษียณแล้วพวกเขาจะสามารถมีชีวิตความเป็นอยู่เหมือนปัจจุบันหรือดีกว่าเดิม

- แต่ทว่า นักลงทุนเกือบครึ่ง (49%) คาดการณ์ว่าหลังพวกเขาเกษียณ ค่ารักษาพยาบาลจะสูงขึ้นจนไม่สามารถจ่ายได้

ผลสำรวจจากแมนูไลฟ์เผยว่า นักลงทุนชาวไทยให้ความสำคัญอย่างมากกับการวางแผนการเงินสำหรับการเกษียณ แต่ในขณะเดียวกันก็มีความกลัวว่าเงินออมจะไม่เพียงพอเนื่องจากค่าใช้จ่ายในอนาคตที่สูงขึ้น ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนแมนูไลฟ์ประจำภูมิภาคเอเชีย หรือ MISI* ได้ทำการสำรวจกลุ่มนักลงทุนในประเทศไทยเป็นครั้งแรกเมื่อปลายปี 2559 ที่ผ่านมา และพบว่า แม้นักลงทุนส่วนใหญ่ได้ให้ความสำคัญวางแผนเงินออมอย่างจริงจัง แต่พวกเขาก็ยังกังวลเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายที่สูง ทั้งด้านครอบครัวและสุขภาพ

เกือบ 1 ใน 5 ของนักลงทุน (18%) จัดอันดับให้การออมเงินเพื่อการเกษียณอายุมีความสำคัญเป็นอันดับต้น และเกือบ 1 ใน 3 ของนักลงทุน (30%) ระบุว่า หากพวกเขาได้รับเงินก้อนเทียบเท่ากับเงินเดือนรวม 3 ปี พวกเขาจะให้ความสำคัญกับการลงทุนในกองทุนเพื่อการเกษียณอายุเป็นอันดับแรก ในขณะที่นักลงทุนราวครึ่งหนึ่ง (51%) เชื่อว่าพวกเขาจะสามารถออมเงินได้ตามเป้าหรือเกินเป้าที่ตั้งไว้สำหรับการเกษียณอายุ นอกจากนี้ ส่วนใหญ่ (79%) ยังแนวคิดมองโลกในแง่บวกว่า ในวัยเกษียณพวกเขาน่าจะสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติหรือดีขึ้นกว่าเดิมด้วยซ้ำ

อย่างไรก็ตาม นักลงทุนยังมีความกังวลว่าทรัพย์สินที่เก็บสะสมไว้ยามเกษียณจะไม่เพียงพอกับค่าใช้จ่ายที่อาจเพิ่มขึ้นในอนาคต ซึ่งเกือบครึ่ง (49%) ของนักลงทุนกลุ่มดังกล่าว รู้สึกว่าพวกเขายังอยู่ห่างไกลจากเป้าหมายทางการเงินของตนเอง และ 12% จากกลุ่มนี้เชื่อว่าหากเกิดความขาดแคลนในช่วงบั้นปลายพวกเขาไม่สามารถที่จะปรับเปลี่ยนเพื่อให้บรรลุเป้าหมายนั้นได้ พวกเขาจะไม่สามารถรับมือได้ สิ่งที่น่าตกใจคือ ผลสำรวจเผยว่า 2 ใน 5 ของนักลงทุนทั้งหมด (40%) คิดว่าเงินออมทั้งหมดที่สะสมมาจะหมดไปในช่วงเกษียณ และนักลงทุนเกินครึ่ง (52%) ระบุว่า พวกเขายังคงมีภาระหนี้สินหรือค่าผ่อนบ้าน ผ่อนรถ ที่จะต้องจ่ายในช่วงบั้นปลายอีกหลังจากที่ตนเองเกษียณแล้ว ซึ่งตัวเลขจำนวนนี้ของประเทศไทยนับว่าสูงกว่าประเทศอื่นๆ ในเอเชียอย่างมีนัยสำคัญ

ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับสุขภาพและครอบครัวในอนาคต ถูกคาดการณ์ว่าจะสูงเกินกว่าเงินออมยามเกษียณสำหรับหลายคน

ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับสุขภาพและครอบครัวเป็นตัวสะท้อนภาระบางอย่างทางสังคม นักลงทุนส่วนใหญ่ (69%) เชื่อว่าสุขภาพของตนเองจะแย่ลงเมื่ออายุเพิ่มมากขึ้น และเกือบครึ่งของนักลงทุน (46%) เชื่อว่าสุขภาพจะแย่ลงเรื่อยๆ จนถึงจุดที่พวกเขาไม่สามารถทำงานได้อีกต่อไป นี่คือประเด็นสำคัญเพราะเกือบครึ่ง (46%) ของนักลงทุนที่มีงานประจำ ต่างมีรายได้ทางอื่นจากธุรกิจส่วนตัว ซึ่งอาจเป็นรายได้ที่พวกเขาไม่สามารถพึ่งพาได้ในยามเกษียณ นักลงทุนส่วนใหญ่ (63%) คาดว่าในช่วงเกษียณอายุพวกเขายังคงต้องให้การสนับสนุนด้านการเงินแก่พ่อแม่ ในขณะที่อีก 27% ก็คาดว่าพวกเขาจำเป็นต้องสนับสนุนด้านการเงินแก่รุ่นลูกต่อไปโดยไม่มีผลตอบแทน

ไมเคิล พาร์คเกอร์ กรรมการผู้จัดการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แมนูไลฟ์ ประกันชีวิต (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า "นักลงทุนชาวไทยมีมุมมองและมีการวางแผนสำหรับการเกษียณอายุแตกต่างกันไป ไม่ว่าจะเป็นการมุ่งทำสิ่งที่ตนเองสนใจ หรือทำงานพาร์ทไทม์ หรือช่วยธุรกิจของครอบครัว อย่างไรก็ตาม พวกเขายอมรับว่าแผนสำหรับวัยเกษียณดังกล่าวนี้ ขึ้นอยู่กับสุขภาพในอนาคต และด้วยแนวโน้มด้านการพัฒนาทางการแพทย์และระบบการดูแลสุขภาพ ทำให้ผู้คนมีอายุยืนยาวขึ้น รวมไปถึงค่าใช้จ่ายด้านการรักษาพยาบาลที่สูงขึ้นด้วย ทั้งหมดนี้ สรุปได้ว่า ค่าใช้จ่ายสำหรับการมีชีวิตวัยเกษียณที่สะดวกสบายนั้น มีอัตราเติบโตเร็วกว่าอัตราเงินเฟ้อ ดังนั้นเมื่อเป็นเช่นนี้การปรับเปลี่ยนการวางแผนทางการเงินเพื่อรองรับวัยเกษียณ จึงเป็นขั้นตอนแรกที่สำคัญเพื่อความมั่นคงของชีวิตในอนาคต"

การศึกษาด้านการเงิน เป็นกุญแจสำคัญสู่การเพิ่มศักยภาพด้านการลงทุน

ผลสำรวจเปิดเผยว่า นักลงทุนจะได้รับประโยชน์จากการศึกษาเกี่ยวกับการเพิ่มขีดจำกัดของกองทุนสำหรับการเกษียณ เมื่อถามถึงการจัดการปัญหาขาดแคลนทางการเงินเมื่อถึงวัยเกษียณ กลุ่มนักลงทุนส่วนใหญ่ (64%) ซึ่งคาดว่าจะใช้ชีวิตอย่างประหยัดในบั้นปลายระบุว่า พวกเขาจะเพิ่มการออมให้มากขึ้น ในขณะที่ส่วนน้อย (24%) ระบุว่าจะเลือกลงทุนมากขึ้นในหุ้นและพันธบัตรซึ่งให้ผลตอบแทนคุ้มค่ากว่า ยิ่งไปกว่านั้น 13% ของนักลงทุนเหล่านี้ระบุว่า พวกเขาไม่รู้เลยว่าควรทำอย่างไร ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงการขาดการรับรู้เกี่ยวกับทางเลือกของการลงทุนแบบต่างๆ

เหล่านักลงทุนอาจจะได้รับประโยชน์จากการวางแผนที่มีประสิทธิภาพเพื่อผลตอบแทนที่ดีขึ้น โดยในกลุ่มผู้ที่มีการออมเงิน เกือบ 1 ใน 3 (32%) ของเงินออม จะอยู่ในรูปแบบเงินฝากที่ไม่ได้วางแผน หรือนำไปลงทุนโดยไม่มีจุดประสงค์ที่ชัดเจน ซึ่งถ้าหากมีการวางโครงสร้างและตั้งเป้าหมายที่สูงขึ้น พวกเขาน่าจะมีโอกาสที่ดีขึ้นที่จะบรรลุเป้าหมายทางการเงินระยะยาว

สุดท้าย ความระมัดระวังของนักลงทุนด้านความเสี่ยงก็อาจจะเป็นอุปสรรคต่อความมั่นคงทางการเงินในอนาคตของพวกเขา ส่วนมาก (60%) ต้องการลงทุนในระดับความเสี่ยงต่ำ ซึ่งอาจจะไม่ใช่วิธีการที่เหมาะสมสำหรับกลุ่มนักลงทุนอายุน้อย ซึ่งมีเวลารับมือกับความผันผวนของตลาด ซึ่งจากการสำรวจโดยเฉลี่ยแล้ว 35% ของสินทรัพย์ของนักลงทุนมักจะอยู่ในรูปแบบของเงินสดหรือเงินฝาก แต่นักลงทุนส่วนใหญ่ (63%) ยังคงเชื่อว่าวิธีนี้เป็นการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตที่ดีที่สุดแล้ว

ไมเคิล รีด ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน แมนูไลฟ์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า "ในภาวะดอกเบี้ยต่ำในปัจจุบัน การพึ่งพาระบบเงินฝากอาจจะไม่สามารถให้ผลตอบแทนนักลงทุนได้ดีอย่างที่ควรจะเป็น ทุกคนควรจะสร้างพอร์ตการลงทุนที่สะท้อนความสามารถในการรับความเสี่ยง รวมถึงความเข้าใจเกี่ยวกับตลาดหุ้น ซึ่งเป็นส่วนที่สำคัญอย่างยิ่ง สำหรับนักลงทุนที่ยังไม่แน่ใจว่าควรจะลงทุนอย่างไร ผู้ให้คำแนะนำด้านการลงทุนสามารถเป็นผู้ช่วยที่ดี เพราะการวางแผนสำหรับการเกษียณเปรียบได้กับการเดินทาง ไม่ใช่การแข่งขัน และไม่มีใครควรจะรู้สึกว่าพวกเขาต้องทำด้วยตัวเองเพียงคนเดียว"

*เกี่ยวกับดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนแมนูไลฟ์ประจำภูมิภาคเอเชีย

ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนแมนูไลฟ์ ประจำภูมิภาคเอเชีย เป็นการสำรวจประจำปี เพื่อประมวลความคิดเห็นนักลงทุนในตลาดหลักของภูมิภาคเอเชียทั้ง 8 ตลาด โดยถามเกี่ยวกับมุมมองการลงทุนในสินทรัพย์หลักประเภทต่างๆ และปัจจัยที่เกี่ยวข้อง ดัชนีนี้คำนวณโดยใช้คะแนนสุทธิเป็นร้อยละ (% ของเวลาที่ดีที่สุด และเวลาที่ดี หักออกด้วย % ของเวลาที่ไม่ดี และเวลาที่ไม่ดีที่สุด) สำหรับสินทรัพย์แต่ละประเภท ดัชนีโดยรวมจะคำนวณโดยค่าเฉลี่ยของตัวเลขดัชนีของสินทรัพย์ ตัวเลขที่เป็นบวก หมายถึงความรู้สึกหรือความเชื่อมั่นที่เป็นบวก ศูนย์ หมายถึงความรู้สึกหรือความเชื่อมั่นที่เป็นกลาง และตัวเลขติดลบ หมายถึงความรู้สึกหรือความเชื่อมั่นที่เป็นลบ

ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนแมนูไลฟ์ ใช้ข้อมูลจากการสัมภาษณ์ออนไลน์จากนักลงทุนจำนวน 500 คนในแต่ละตลาด คือ ฮ่องกง จีน ไต้หวัน สิงคโปร์ มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และไทย ส่วนใน อินโดนีเซียนั้น ใช้การสัมภาษณ์ตัวต่อตัวจากนักลงทุนจำนวน 500 คน ผู้ถูกสัมภาษณ์เป็นนักลงทุนระดับคนชั้นกลางถึงนักลงทุนที่มีฐานะดี ที่มีอายุตั้งแต่ 25 ปีขึ้นไปเป็นผู้ตัดสินใจการลงทุนของครอบครัว และมีการลงทุนอยู่แล้ว

ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนแมนูไลฟ์ เป็นรูปแบบงานวิจัยจากอเมริกาเหนือที่ได้มีการจัดทำขึ้นเป็นระยะเวลายาวนาน โดยได้มีการวัดค่าความรู้สึกและความเชื่อมั่นของนักลงทุนในประเทศแคนาดามากว่า 18 ปี โดยมีการขยายการดำเนินงานไปยังส่วนงาน จอห์น แฮนคอกในสหรัฐฯ เมื่อปี 2554 และในภูมิภาคเอเซียเมื่อปี 2556 สินทรัพย์ประเภทต่างๆ ที่ ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนแมนูไลฟ์ประจำภูมิภาคเอเซีย นำมาคำนวณคือ ตราสารหุ้น/ ตราสารทุน อสังหาริมทรัพย์ (บ้านที่พักอาศัยหลัก และอสังหาฯ เพื่อการลงทุนอื่นๆ) หน่วยลงทุนในกองทุนรวม ตราสารหนี้/ตราสารทางการเงิน และเงินสด

การสำรวจครั้งล่าสุดจัดทำขึ้นระหว่างเดือนกันยายน และตุลาคม พ.ศ. 2559 โดยบริษัท TNS บริษัทผู้ให้บริการด้านการวิจัยชั้นนำระดับโลก

รายงานฉบับนี้ ได้ถูกจัดทำขึ้นเพื่อให้แก่ผู้รับเท่านั้นภายใต้กฎหมายและข้อบังคับของเขตอำนาจศาลที่เกี่ยวข้อง และจัดทำโดยความต้องการของบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน แมนูไลฟ์ จำกัด ตั้งแต่มกราคม พ.ศ.2560 และอาจเปลี่ยนแปลงได้ขึ้นอยู่กับตลาดและเงื่อไขอื่นๆ ข้อมูล และ/หรือ การวิเคราะห์ในรายงานฉบับนี้ถูกนำมารวบรวมหรือมาจากแหล่งข้อมูลที่คิดว่าเป็นประโยชน์และน่าเชื่อถือ แต่ไม่ได้เป็นแสดงความถูกต้อง แม่นยำ เป็นประโยชน์หรือสมบูรณ์จากบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน แมนูไลฟ์ จำกัด และจะไม่รับผิดชอบหากเกิดการสูญเสียใดๆหากมีการนำข้อมูลหรือการวิเคราะห์ดังกล่าวมาใช้ ข้อมูลในเอกสารในเอกสารฉบับนี้รวมถึงคำแถลงการณ์เกี่ยวกับเทรนด์ตลาดการเงินนั้นอ้างอิงกับสภาวะตลาดในปัจจุบัน ซึ่งอาจประสบภาวะผันผวน และอาจถูกเปลี่ยนแปลงไปตามสภาพการณ์ของตลาด หรือด้วยเหตุผลอื่นๆ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน แมนุไลฟ์ จำกัด จะไม่รับผิดชอบต่อการปรับปรุงข้อมูลดังกล่าว บริษัท หลักทรัพย์จัดการกองทุนแมนูไลฟ์ จำกัด หรือ บริษัทในเครือ หรือกรรมการพนักงาน หรือลูกจ้างใด ๆ ของ บริษัท ต้องรับผิดหรือความรับผิดชอบใด ๆ ต่อความสูญเสียหรือความเสียหายโดยทางตรงหรือทางอ้อม หรือผลกระทบอื่นใดของบุคคลใด ๆ ที่ทำหน้าที่หรือไม่ปฏิบัติตามข้อมูลที่ปรากฏในเอกสารนี้ ภาพรวมและความเห็นทั้งหมด มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นความเห็นลักษณะทั่วไป และเพื่อประโยชน์ในปัจจุบัน อย่างไรก็ตามความเห็นเหล่านี้ไม่สามารถใช้เป็นข้อมูลอ้างอิงสำหรับคำแนะนำด้านภาษี การลงทุน หรือกฎหมาย ได้ ลูกค้าควรขอคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน ซึ่งไม่ว่าจะเป็น Manulife Financial หรือ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน แมนูไลฟ์ จำกัด หรือ บริษัท ในเครือ หรือ ตัวแทนของ บริษัท ไม่สามารถให้คำแนะนำด้านภาษีการลงทุนหรือคำปรึกษาด้านกฎหมาย ผลงานที่ผ่านมาไม่สามารถรับประกันผลงานในอนาคต เนื้อหานี้จัดทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลเท่านั้น ไม่ใช่เป็นการเสนอหรือคำเชิญในนามของ บริษัท หลักทรัพย์จัดการกองทุนแมนูไลฟ์ จำกัด ให้แก่บุคคลใดบุคคลหนึ่งเพื่อซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใด ๆ และไม่มีการแสดงเจตนาในการลงทุนในกองทุนหรือบัญชีใด ๆ ที่ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน แมนูไลฟ์ จำกัด เป็นผู้บริหารจัดการ ไม่มีกลยุทธ์การลงทุนหรือเทคนิคการบริหารความเสี่ยงสามารถรับประกันผลตอบแทนหรือลดความเสี่ยงในสภาพแวดล้อมทางการตลาดใด ๆ ข้อมูลทั้งหมดมาจาก บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน แมนูไลฟ์ จำกัด เว้นแต่มีการระบุไว้เป็นอย่างอื่น

ข่าวประชาสัมพันธ์ล่าสุด

๑๗:๒๑ 60 ปีแห่งความมุ่งมั่น! คาโอ คว้ารางวัลอุตสาหกรรมดีเด่น 2 ประเภทในปี 2567 ชูความสำเร็จด้านสิ่งแวดล้อมและความรับผิดชอบต่อสังคม
๑๗:๒๓ AVATR ก้าวสู่ความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่! ระดมทุนในรอบ Series C ได้มากกว่า 11,000 ล้านหยวน พร้อมก้าวสู่ความเป็นผู้นำในตลาดรถยนต์ไฟฟ้าหรูหราแห่งอนาคต
๑๗:๐๖ Zoom เปิด 10 เทรนด์ ใช้ AI ในการทำงานปี 2568
๑๗:๑๐ เปิดมุมมองอาชีพที่หลากหลายในอุตสาหกรรมกาแฟไทย เจาะลึกบทบาทและแนวทางยกระดับสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน
๑๗:๑๔ อนาคตแห่งการเดินทาง: 5 คนขับ AI จากแอปเรียกรถ Maxim
๑๗:๕๕ Well-Being House บ้านชั้นเดียวเอาใจคนวัยเกษียณ
๑๗:๑๖ กทม. แจงเปิดกว้างการแข่งขันโครงการเช่าคอมพิวเตอร์พกพาสำหรับนักเรียน
๑๖:๓๗ รายงาน Ericsson Mobility Report ฉบับล่าสุด เผยผู้เริ่มให้บริการ 5G กลุ่มแรกกำลังมุ่งสู่โมเดลธุรกิจที่เน้นประสิทธิภาพ
๑๗:๒๕ เมดีซ กรุ๊ป ร่วมสมทบทุนสนับสนุนมูลนิธิโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช ช่วยผู้ป่วยในชนบท ถิ่นทุรกันดารที่ห่างไกล
๑๖:๔๔ CNN จับตา นวัตกรรมล่าสุดจากนักวิจัยไทย พลิกโฉมการตรวจคัดกรองความเครียดด้วย เหงื่อ