ก่อนจะสันนิษฐานว่าตลาดหุ้นมีแนวโน้มขึ้นต่อหรือพักฐาน เริ่มที่เข้าใจว่าเมื่อนักลงทุนซื้อหุ้นคือเขาซื้ออนาคตของหุ้นตัวนั้น เชื่อว่าอนาคตว่ากิจการจะเติบโตขึ้นและมีกำไรต่อไป ซึ่งเราสามารถกำหนด 2 ตัวแปรหลักที่ขับเคลื่อนราคามาได้ดังนี้ 1. กำไรของกิจการ (EPS หรือ E) ยกตัวอย่างเช่น กำไรดีขึ้นราคาหุ้นเพิ่มขึ้น มองด้วยตรรกะเบื้องต้นแบบนี้ก่อน และ 2. เพราะซื้ออนาคตของหุ้น นักลงทุนจะยอมซื้อแพงขึ้น (P/E) เมื่อเชื่อว่ากิจการมีแนวโน้มดีขึ้น/เติบโตขึ้น ดังนั้นราคาหุ้น ดัชนีหุ้น จะถูกกำกับด้วย 2 ตัวแปรหลักนี้
กำไรของหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ทั้งในฝั่งประเทศสหรัฐอเมริกาและประเทศไทย เรียกว่าพอพยุงไปได้ ไม่หวือหวา และมักไม่หวือหวาอยู่แล้ว. ตัวแปรที่น่าเป็นห่วงคือ PE ในตลาดหุ้น ดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ล่าสุดเทรดกันที่ 21 เท่าPE, ดัชนี S&P500 ล่าสุดเทรดกันที่ 24.6 เท่า PE, ดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ล่าสุดเทรดกันที่ 17.4*เท่า PE ไม่ใช่ระดับสูงสุด แต่เรียกว่าเฉลี่ยสูง และน่าเป็นห่วง เพราะหมายความว่าเฉลี่ยซื้อขายหุ้นกันแพงแล้ว
เมือกลับมาดู SET ที่ล่าสุดราคากลับขึ้นมาทดสอบระดับ 1,600 จุด ซึ่งถือเป็นแนวต้านใหญ่ อีกครั้ง กับกำไรกิจการที่ยังทรงๆ และเทรดกันเฉลี่ยสูงที่ 17.4 เท่า PE โอกาสที่จะผ่านระดับนี้ได้จริง ไม่ใช่แค่ย่ำหรือล้อที่แนวต้าน คือขึ้นอย่างน้อย 1 เท่า PE ที่ระดับ 80-90 จุด น่าจะยังไม่ง่าย ประกอบกับแรงเก็งกำไรผลประกอบการรายปีของกิจการก็จบหมดแล้วในไตรมาส 1 ที่ผ่านมา เรียกว่า หมดเรื่องเล่นในภาพรวม
อย่างไรก็ตาม ไม่ได้หมายความว่าจะลงทุนไม่ได้เสียทีเดียว แต่นักลงทุนต้องทำการบ้านศึกษาข้อมูลเยอะหน่อย บางอุตสาหกรรม อาทิ ธนาคาร ยังเทรดกันที่ระดับ 11-12 เท่า PE เท่านั้น ถือว่าเฉลี่ยต่ำ ซึ่งสามารถนำไปประกอบการพิจารณาได้ ในปี 2017 นี้กับ SET ที่ระดับ 1,600 จุด ควรเป็นจังหวะดูเชิงและคัดหุ้นเข้ารายตัวมากกว่าที่จะเข้าไปจัดเต็ม และท่ามกลางความไม่แน่นอนนี้ ม้ามืดที่ใครต่อใครอาจจะลืมไปคือ ทองคำ ซึ่งก็ยังถือเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยอยู่ ก็สามารถเป็นอีกตัวเลือกหนึ่งในการลงทุนได้