นายธรากร อังภูเบศวร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ฟู้ด แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) (FC) เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้เข้าลงนามในสัญญาซื้อขายหุ้นเพื่อให้ได้มาซึ่งกิจการทั้งหมดของบริษัท จี เอ็นเตอร์ไพรส์ แอนด์ โค จำกัด (จี เอ็นเตอร์ไพรส์ฯ) ซึ่งประกอบธุรกิจร้านอาหารภายใต้แบรนด์ "ชิงช้าชาลี" (CHINGCHA CHARLEE) "มูมมามพาร์ค"(MOOMMUUM PARK) "อูมามิ ฟาลาเบลล่า" (UMAMI FALLABELLA) และ"ไพเรทเชมเบอร์" (PIRATE CHAMBRE) จากกลุ่มผู้ถือหุ้นเดิมของจี เอ็นเตอร์ไพรส์ฯ โดยมีมูลค่าเงินลงทุนรวมทั้งสิ้นไม่เกิน 121,809,000 บาทโดยการผนึกกำลังทางธุรกิจในครั้งนี้ จะสร้างความเปลี่ยนแปลงที่น่าจับตามองให้แก่ธุรกิจบาร์และร้านอาหารสไตล์กินดื่มกลางคืนของกรุงเทพฯ ด้วยความพร้อม ที่จะนำจุดแข็งจาก จี เอ็นเตอร์ไพรส์ฯ ซึ่งมีความชำนาญด้านธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม ผสมผสานจุดแข็งด้านศิลปะ และความคิดสร้างสรรค์ มาพัฒนา เสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจให้มีสไตล์และเพิ่มประสบการณ์ใหม่ๆ กับลูกค้ามากขึ้น
"ฟู้ด แคปปิตอล มีความแข็งแกร่งในด้านความเป็นผู้นำในธุรกิจร้านอาหารแบรนด์สากล (International Brand) ที่มีทีมงานมืออาชีพที่เชี่ยวชาญธุรกิจด้านอาหาร เปิดตลาดวงการอาหารของประเทศไทยสู่ความเป็นสากล ซึ่งการเข้ามาของ จี เอ็นเตอร์ไพรส์ฯ จะเข้ามาเติมเต็มให้บริษัทมีบริการที่ครบทุกด้านมากยิ่งขึ้น" นายธรากร กล่าว
ล่าสุดบริษัทยังอยู่ระหว่างการดำเนินการเพื่อซื้อกิจการร้านอาหารจากกลุ่มโอชา ซึ่งเป็นร้านอาหารไทยชื่อดังในซานฟรานซิสโก สหรัฐอเมริกา โดยปัจจุบันขั้นตอนการซื้อกิจการใกล้เสร็จสมบูรณ์แล้ว คาดว่าจะเสร็จสมบูรณ์ภายในไตรมาส 2/2560 ซึ่งหลังจากที่มีการซื้อกิจการในกลุ่มโอชา เข้ามาแล้ว จะทำให้บริษัทรับรู้รายได้จาก กลุ่มโอชาในทันที จึงคาดว่าปี 2560 บริษัทจะมีรายได้จากการควบรวม 2 กิจการ รวมรายได้ทั้งปี 2560 คาดว่าจะสูงกว่า 1,000 ล้านบาทหรือเพิ่มขึ้นไม่น้อยกว่า 50% ซึ่งบริษัทฯ กลับมามีกำไร ซึ่งหากทำได้ตามเป้าหมาย จะสามารถพิจารณาจ่ายเงินปันผลต่อไป
นายณ ชนก รัตนทารส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท จี เอ็นเตอร์ไพรส์ แอนด์ โค จำกัด กล่าวว่า การเข้ามาร่วมธุรกิจกับบริษัท ฟู้ด แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) (FC) ซึ่งเป็นผู้นำธุรกิจอาหารที่หลากหลายและครบถ้วนจะให้เกิดความแข็งแกร่งทางธุรกิจมากขึ้นในอนาคต และก้าวสู่ความเป็นผู้นำด้านอาหารที่ครบถ้วนทั้งอาหารไทย และอาหารนานาชาติแบบ crossed culture ซึ่ง จี เอ็นเตอร์ไพรส์ฯ จะนำประสบการณ์ที่มีความโดดเด่นในด้านการนำเสนออาหารที่มีความสวยงามแฝงไปด้วยมุมมองแห่งศิลปะ และจากประสบการณ์ส่วนตัวที่เคยเป็นทั้งเชฟ อาร์ตไดเร็กเตอร์ และ interior design ให้กับร้านอาหารของตนเอง จนประสบความสำเร็จ และมีชื่อเสียงในด้านอาหาร เข้ามาเติมเต็มให้สองธุรกิจในครั้งนี้ เกิดการเปลี่ยนแปลง สามารถพัฒนาและปรับเปลี่ยนเมนูอาหารและเครื่องดื่ม รวมทั้งวงดนตรีและดีเจ ของร้านต่างๆ ให้มีคอนเซปต์ชัดเจนและโดดเด่นขึ้นและตรงกับคาเรกเตอร์ของแต่ละร้านมากขึ้น
"สำหรับทิศทางของธุรกิจอาหารในปัจจุบันนั้น รสนิยมของผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงไปจากก่อนหน้านี้ค่อนข้างมาก ทั้งจากสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป และปัจจัยที่ทำให้รสนิยมของผู้บริโภคเปลี่ยนไปในปัจจุบันคืออินเตอร์เน็ตและสมาร์ทโฟน การเช็คอินในสถานที่ที่มีการนำเสนอที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของลูกค้าจึงเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่เข้ามากำหนดรสนิยมผู้บริโภคค่อนข้างมาก รวมถึงการถ่ายรูปอาหารและโพสต์ลงโซเชียลเน็ตเวิร์ก ดังนั้นการดำเนินธุรกิจจำเป็นจะต้องมีการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์อยู่เสมอและการศึกษาพฤติกรรมผู้บริโภคที่มีประสิทธิภาพเพื่อตอบสนองการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวได้อย่างทันท่วงที นำไปสู่การรักษาฐานลูกค้าและคงความได้เปรียบทางการแข่งขัน ซึ่งเราได้ศึกษาพฤติกรรมผู้บริโภคมาอย่างต่อเนื่องจึงได้เปรียบคู่แข่งขันโดยเฉพาะรูปแบบการนำเสนอของร้านและการจัดวางอาหารที่สวยงาม เพื่อตอบสนองพฤติกรรมของผู้บริโภค" นายณ ชนก กล่าว