“AECS” ยื่นไฟลิ่ง “เดอะคลีนิกค์” ต่อ กลต. เรียบร้อยแล้ว เตรียมเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ เร็วๆนี้

อังคาร ๒๕ เมษายน ๒๐๑๗ ๑๓:๐๕
บล.เออีซี (AECS) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน บริษัท เดอะคลีนิกค์ คลินิกเวชกรรม จำกัด (มหาชน) หรือTKC ผู้ให้บริการด้านผิวพรรณและศัลยกรรมความงามในหลายรูปแบบด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลและร่างหนังสือชี้ชวน(ไฟลิ่ง)ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อขออนุญาตเสนอขายหุ้นต่อประชาชน( IPO) จำนวน 60 ล้านหุ้น พาร์ 0.50 บาทต่อหุ้นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ด้าน "ชนะชัย จุลจิราภรณ์" ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เผยเม็ดเงินระดมทุนจะนำไปขยายสาขาใหม่ 8 แห่งในปี 60-61 เพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้กับผลการดำเนินงานในระยะยาว คาดว่าจะเข้าทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯได้หลังจากได้รับอนุมัติจากทาง กลต.ได้ในเร็วๆนี้

นายชนะชัย จุลจิราภรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ เออีซี จำกัด (มหาชน) หรือ AECS ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน บริษัท เดอะคลีนิกค์ คลินิกเวชกรรม จำกัด (มหาชน) หรือ TKC เปิดเผยว่า ฝ่ายวาณิชธนกิจ สายงานIB5 ของบริษัทฯได้ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลและร่างหนังสือชี้ชวน(ไฟลิ่ง)ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อขออนุญาตเสนอขายหุ้นต่อประชาชน( IPO) จำนวน 60 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (Par) 0.50 บาทต่อหุ้น คิดเป็นร้อยละ 27.27 ของจำนวนหุ้นที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทภายหลังการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุน และคาดว่าจะเข้าทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯได้หลังจากได้รับอนุมัติจากทาง กลต.ได้ในเร็วๆนี้

บริษัท เดอะคลีนิกค์ คลินิกเวชกรรม จำกัด (มหาชน) เป็นผู้ให้บริการด้านผิวพรรณและศัลยกรรมความงามในหลายรูปแบบด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย ได้แก่ การให้บริการด้านผิวพรรณ ลดริ้วรอย รักษารูปร่าง และศัลยกรรม โดย สิ้นปี 2559 บริษัทมีคลินิกสาขาจำนวน 22 สาขา และคลินิกแฟรนไชส์อีก 3 สาขา และมีทุนจดทะเบียน 110 ล้านบาท ทุนชำระแล้ว 80 ล้านบาท ภายใต้การบริหารงานของนายแพทย์อภิรุจ ทองวัฒน์ ซึ่งดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร

ทั้งนี้ TKC มีบริการและผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย เพื่อตอบสนองความต้องการลูกค้าในทุกระดับ อาทิ การให้บริการทำทรีทเมนต์เพื่อรักษาผิวหน้า ลดรอยแดง ลดรอยดำ การให้บริการเลเซอร์เพื่อยกกระชับ ปรับรูปหน้า การดูแลรูปร่างด้วยการกำจัดและสลายไขมัน การทำศัลยกรรมตกแต่ง เป็นต้น นอกจากนี้ บริษัทยังมีการจำหน่ายเวชสำอาง โดยมีผลิตภัณฑ์ประเภทต่างๆ อาทิเช่น Special Care, Clean & Prepare, Whitening Set, Sun Care และ Antioxidant เป็นต้น

โดยกลุ่มเป้าหมายในการให้บริการจะเน้นการให้บริการลูกค้ากลุ่ม Medium High ถึง High End และจะมีการเก็บฐานข้อมูลลูกค้า ซึ่งทางบริษัทจะมีการติดต่อส่งข่าวสารหรือโปรโมชั่นให้กับลูกค้าอย่างสม่ำเสมอ รวมถึงการส่งโปรโมชั่นแนบสิทธิพิเศษให้กับลูกค้าในวันเกิด เพื่อสร้างความประทับใจและความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้าให้ลูกค้ากลับมาใช้บริการอีก ทางบริษัทยังมุ่งเน้นการประสานงานกับทางการตลาดของธนาคารต่างๆ เพื่อขยายฐานลูกค้าผ่านฐานข้อมูลลูกค้าบัตรเครดิตของธนาคารด้วยวิธีการต่างๆ

ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล.เออีซี (AEC) กล่าวเพิ่มว่า สำหรับผลการดำเนินงานของ บมจ.เดอะคลีนิกค์ คลินิกเวชกรรม (TKC) ในช่วง 2557 มีรายได้จากการให้บริการและค่ารักษาพยาบาลที่เกิดจากการทยอยรับรู้รายได้จากการให้บริการแล้ว จำนวน 438.45 ล้านบาท และมีกำไร(ขาดทุน)สุทธิ จำนวน (37.36) ล้านบาท ส่วนในปี 2558 มีรายได้จากการให้บริการและค่ารักษาพยาบาล จำนวน 640.75 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ จำนวน 51.77 ล้านบาท และปี2559 มีรายได้จากการให้บริการและค่ารักษาพยาบาล จำนวน 640.51 ล้านบาท และกำไรสุทธิ จำนวน 32.66 ล้านบาท

อย่างไรก็ตามในปี 2557 ทาง TKC มีอัตราขาดทุนสุทธิในปี 2557 จากการกำหนดอายุคอร์สยังไม่สอดคล้องกับการใช้บริการจริง และบริษัทมีอัตรากำไรสุทธิสูงขึ้นในปี 2558 มีผลมาจากรายได้จากการใช้บริการของลูกค้าที่ชำระเงินก่อนปี 2558 มาใช้บริการในปี 2558 เพิ่มขึ้น รวมถึงในปี 2557 มีการกำหนดอายุคอร์สใหม่จากเดิม 2 ปี เป็น 1 ปี ส่งผลให้มีรายได้จากคอร์สที่ชำระเงินในปี 2556 หมดอายุในปี 2558 จำนวน 23.93 ล้านบาท และคอร์สที่ชำระเงินในปี 2557หมดอายุในปี 2558 จำนวน 70.72 ล้านบาท ซึ่งส่งผลให้ปี 2559 บริษัทมีอัตรากำไรสุทธิลดลงเหลือร้อยละ 5 เนื่องจากรายได้จากคอร์สที่ชำระเงินในปี 2558 หมดอายุในปี 2559 มีจำนวนเพียง 77.59 ล้านบาท และหรือคิดเป็นอัตราการเพิ่มขึ้นร้อยละ 46.14 และลดลงร้อยละ 0.04 ในปี 2558 ในปี 2559 ตามลำดับ

สำหรับวัตถุประสงค์ในการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ ในครั้งนี้ เพื่อนำเงินที่ได้ไปใช้ในการขยายสาขาใหม่ จำนวน 8 สาขา ซึ่งจะทยอยเปิดในช่วงปี 2560-2561 โดยมุ่งเน้นตามห้างสรรพสินค้าชั้นนำของประเทศ และคาดว่าจะใช้เงินลงทุนทั้งสิ้นประมาณ 15 - 20 ล้านบาท/สาขา โดยแบ่งออกเป็น เงินมัดจำค่าเช่า 1.50 – 2.00 ล้านบาท ค่าตกแต่งสาขา 3.00 - 4.00 ล้านบาท ค่าเครื่องมือทางการแพทย์ 10.00 - 14.00 ล้านบาท และอุปกรณ์ 1.00 ล้านบาท เพื่อรองรับการให้บริการลูกค้าได้อย่างทั่วถึงมากขึ้น

นอกจากนี้ TKC มีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งว่าผู้บริโภคเป็นแรงขับเคลื่อนในตลาด ทางบริษัทจึงได้ทำการศึกษาพฤติกรรมผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ทราบถึงความต้องการอย่างตรงจุด และเมื่อนำความเข้าใจในผู้บริโภคมาปรับใช้กับการวางกลยุทธ์ ทำให้ส่งผลดีต่อการดำเนินงานและผลประกอบการที่เป็นเป้าหมายธุรกิจในระยะยาว ซึ่งบริษัทจึงได้กำหนดกลยุทธ์เพื่อเตรียมรับมือกับการแข่งขันเพื่อสร้างความได้เปรียบในระยะยาว อาทิ การพัฒนาการให้บริการด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรมทางการแพทย์ที่ทันสมัย, การพัฒนาคุณภาพการให้บริการด้วยบุคลากรและทีมแพทย์ที่เชี่ยวชาญ, การสร้างตราสินค้าให้เป็นที่รับรู้และจดจำ, การขยายขอบเขตการให้บริการ, ทำเลที่ตั้ง, ด้านราคาและการส่งเสริมทางการตลาด, การประชาสัมพันธ์, การทำสื่อการตลาดให้ลูกค้ากลุ่มดิจิตอลเนทีฟ (Digital Native)ต่อเนื่อง

ข่าวประชาสัมพันธ์ล่าสุด

๑๗:๒๑ 60 ปีแห่งความมุ่งมั่น! คาโอ คว้ารางวัลอุตสาหกรรมดีเด่น 2 ประเภทในปี 2567 ชูความสำเร็จด้านสิ่งแวดล้อมและความรับผิดชอบต่อสังคม
๑๗:๒๓ AVATR ก้าวสู่ความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่! ระดมทุนในรอบ Series C ได้มากกว่า 11,000 ล้านหยวน พร้อมก้าวสู่ความเป็นผู้นำในตลาดรถยนต์ไฟฟ้าหรูหราแห่งอนาคต
๑๗:๐๖ Zoom เปิด 10 เทรนด์ ใช้ AI ในการทำงานปี 2568
๑๗:๑๐ เปิดมุมมองอาชีพที่หลากหลายในอุตสาหกรรมกาแฟไทย เจาะลึกบทบาทและแนวทางยกระดับสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน
๑๗:๑๔ อนาคตแห่งการเดินทาง: 5 คนขับ AI จากแอปเรียกรถ Maxim
๑๗:๕๕ Well-Being House บ้านชั้นเดียวเอาใจคนวัยเกษียณ
๑๗:๑๖ กทม. แจงเปิดกว้างการแข่งขันโครงการเช่าคอมพิวเตอร์พกพาสำหรับนักเรียน
๑๖:๓๗ รายงาน Ericsson Mobility Report ฉบับล่าสุด เผยผู้เริ่มให้บริการ 5G กลุ่มแรกกำลังมุ่งสู่โมเดลธุรกิจที่เน้นประสิทธิภาพ
๑๗:๒๕ เมดีซ กรุ๊ป ร่วมสมทบทุนสนับสนุนมูลนิธิโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช ช่วยผู้ป่วยในชนบท ถิ่นทุรกันดารที่ห่างไกล
๑๖:๔๔ CNN จับตา นวัตกรรมล่าสุดจากนักวิจัยไทย พลิกโฉมการตรวจคัดกรองความเครียดด้วย เหงื่อ