นายณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ทรีนีตี้ ประเมินทิศทางตลาดหุ้นไทยในเดือนพฤษภาคมนี้จะแกว่งตัวออกด้านข้างต่อไปในกรอบ 1540 – 1590 จุด โดยราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวลงมาบริเวณกรอบแนวรับด้านล่าง 50 เหรียญฯต่อบาร์เรลน่าจะเริ่มมี Downside risk ที่จำกัด เนื่องจากยังคงคาดการณ์ว่าในท้ายที่สุด ที่ประชุมกลุ่ม OPEC และ Non-OPEC ในวันที่ 25 พฤษภาคมนี้จะมีมติขยายระยะเวลาการลดกำลังการผลิตออกไปจากเดิม นอกจากนี้หากพิจารณาในแง่มูลค่าพื้นฐานของตลาดหุ้นไทยถือว่าเริ่มอยู่ในระดับที่พอรับได้ เนื่องจากประมาณการกำไรของบริษัทจดทะเบียนเริ่มถูกปรับขึ้นเล็กน้อยแล้ว โดยเฉพาะกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี จนทำให้ล่าสุดคาดการณ์ EPS ของ SET Index ปลายปีนี้อยู่ที่ 102.8 บาท ซึ่งหากเทียบเคียงกับระดับดัชนีปัจจุบันจะพบว่าซื้อขายอยู่บริเวณ Forward PE 15.2 เท่า ถือว่าไม่สูงจนเกินไปนัก
ส่วนการเลือกตั้งปธน.ฝรั่งเศสรอบที่ 2 ในวันที่ 7 พฤษภาคมนี้ คาดนายเอมมานูเอล มาครองจะชนะนางเมอรีน เลอ เปน ส่งผลให้ตลาดหุ้นทั่วโลกจะยังอยู่ในเกณฑ์ดี แต่ประเด็นนี้ก็อาจจะทำให้ตลาดหุ้นเกิดใหม่รวมถึงไทยมีโอกาสปรับตัว Underperform ตลาดหุ้นพัฒนาแล้ว ในช่วงสั้นๆได้
ส่วนปัจจัยลบที่ต้องติดตามก็คือการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐฯในวันที่ 13-14 มิถุนายน ซึ่งมีความเป็นไปได้ที่ จะขึ้นดอกเบี้ย แต่นักลงทุนในตลาดยังไม่ได้ให้น้ำหนักมากนัก สะท้อนจากความน่าจะเป็นจาก Fed Funds futures ที่อยู่เพียง 70% เท่านั้น หากในช่วงถัดไปนักลงทุนเริ่มให้น้ำหนักกับประเด็นดังกล่าวมากขึ้น ก็มีโอกาสที่ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐจะทยอยปรับตัวสูงขึ้น และเป็นตัวกดดันให้กระแสทุนต่างชาติไหลออกได้บางส่วน
สำหรับกลยุทธ์แนะนำนักลงทุนใช้บริเวณกรอบแนวรับ 1540-1550จุด ในการเข้าสะสมหุ้น มองกลุ่มธนาคารพาณิชย์เริ่มมีความน่าสนใจในแง่ของมูลค่าพื้นฐาน หลังจากที่ราคาปรับตัวลงมาแรง โดยล่าสุดซื้อขายที่ระดับ Forward PBV และ Forward PE ต่ำที่สุดในรอบ 2 เดือน แนะนำ SCB สำหรับกลุ่มธนาคารขนาดใหญ่ ส่วนกลุ่มธนาคารขนาดเล็ก เลือก TISCO และ TCAP
นอกจากนั้นแนะนำสะสมหุ้นกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมีเมื่อมีการอ่อนตัว เช่น PTT, PTTEP, PTTGC เนื่องจากเป็นกลุ่มที่เห็นแนวโน้มของการปรับเพิ่มประมาณการ และเพื่อรอลุ้นข่าวดีที่อาจเกิดขึ้นจากการประชุมกลุ่ม OPEC และ Non-OPEC ในช่วงปลายเดือนนี้