นายสิทธิพร รัตนาภรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน บริษัท เจ.เอส.พี.พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ JSP เปิดเผยถึง ผลการดำเนินงานไตรมาส 1/60 ว่า บริษัทมีผลประกอบการที่โดดเด่นและเป็นการทำสถิติผลประกอบการเติบโตสูงสุด โดยมีรายได้รวม 1,043 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวม 539 ล้านบาท จำนวน 504 ล้านบาท หรือปรับตัวเพิ่มขึ้น 93.50% และมีกำไรสุทธิ 48 ล้านบาท
สำหรับผลประกอบการไตรมาส 1 ปี 2560 และ ไตรมาส 1 ปี 2559 บริษัทฯ และบริษัทย่อยมียอดโอนกรรมสิทธิอสังหาริมทรัพย์เพื่อการจำหน่ายสะสมรวมกัน จำนวน 2,864 ยูนิต และ 1,073 ยูนิต ตามลำดับ โดยในไตรมาส 1/60 มีรายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ของบริษัทฯ และบริษัทย่อยอยู่ที่ 999 ล้านบาท เปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ 524 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้น 475 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 90.65% และมีรายได้จากการให้เช่าและบริการของบริษัทฯ และบริษัทย่อยสำหรับไตรมาส 1/2560 เท่ากับ 24 ล้านบาท หรือคิดเป็น 2.30% ของรายได้รวม ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนไตรมาส 1/59 เท่ากับ 7 ล้านบาท หรือคิดเป็น 1.30% ของรายได้รวม
โดยผลประกอบการมีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้น ซึ่งมีปัจจัยสนับสนุนจากที่บริษัทมีการรับรู้รายได้จากการโอนกรรมสิทธิ์เข้ามาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว จากทาวน์เฮ้าส์ ในโครงการ JSP City สุขุมวิท-แพรกษา, รังสิตคลอง1 คอนโดมิเนียมโครงการไมอามี่ และทิวลิป สแควร์, อาคารพาณิชย์โครงการสำเพ็ง 2 และบางปะกง-บ้านโพธิ์ อีกทั้งกำลังซื้อของผู้บริโภคเริ่มกลับมา จึงส่งผลให้บริษัทมีผลประกอบการสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้
สำหรับทิศทางธุรกิจไตรมาส 2/59 บริษัทมองว่าจะยังคงเติบโตอยู่ในทิศทางที่ดีและมั่นใจว่าจะสร้างการเติบโตของผลประกอบการอย่างต่อเนื่อง โดยมีแผนเปิดโครงการใหม่ทั้งแนวราบและแนวสูงในปีนี้เพิ่มอีก มูลค่ารวมกว่า 4,000 ล้านบาท อาทิ โครงการ เจ แกรนด์ สาทร-กัลปพฤกษ์, เจ ซิตี้ รัตนาธิเบศร์-บางบัวทอง, เจ วิลล่า วงแหวนบางใหญ่, เจ ซิตี้ อัสสัมชัญ-ศรีราชา เจ คอนโด บางเสร่และโครงการย่านพระราม 4 ปัจจุบันบริษัทมีแบ็กล็อกในมือกว่า 4,000 ล้านบาท ซึ่งจะรับรู้รายได้ภายในปีนี้ประมาณ3,000 ล้านบาท และส่วนที่เหลือจะทยอยรับรู้รายได้ในต้นปี 2561
นอกจากนี้ยังมุ่งเน้นกลยุทธ์การบริหารสต๊อกสินค้า เพิ่มยอดขาย และเร่งโอน พร้อมเน้นโครงการที่เปิดแล้ว ภายใต้คอนเซปต์สินค้า "ทำเลดี ราคาเป็นมิตร" พร้อมมีฟังก์ชั่นที่ตอบโจทย์ทุกความต้องการของลูกค้า อีกทั้งยังได้รับความเชื่อมั่นจากธนาคารชั้นนำต่างๆกว่า 10 ธนาคารที่ร่วมเป็นพันธมิตร และยกระดับการให้วงเงินสินเชื่อและอัตราดอกเบี้ยในแบบพิเศษสำหรับลูกค้า ซึ่งถือเป็นปัจจัยที่สำคัญและทำให้มั่นใจว่าปี 2560 บริษัทจะสามารถทำรายได้ที่ 5,000 ล้านบาท หรือเติบโตไม่น้อยกว่า 20% ตามที่ตั้งเป้าไว้