ดร.วิทยา อินาลา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมกาเคม (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ MGT เปิดเผยว่า บริษัทฯตั้งเป้ารายได้ปี 2560 เติบโตที่ระดับ 20% จากปีก่อนที่มีรายได้ 561.15 ล้านบาท จากภาพรวมของอุตสาหกรรมต่าง ๆ ที่ยังมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ทำให้บริษัทฯสามารถหาลูกค้าสำหรับเคมีภัณฑ์กลุ่มใหม่ ๆ ได้เพิ่มขึ้น รวมถึงยังสามารถรักษาฐานลูกค้าเดิมไว้ได้ โดยบริษัทฯได้ลงทุนจัดตั้งห้องทดสอบ และวิเคราะห์องค์ประกอบทางเคมี ที่สำนักงานใหญ่ (นิคมอุตสาหกรรมลาดกระบัง) ด้วยงบลงทุนในการจัดซื้อเครื่องมือ 30 ล้านบาท เพื่อทดสอบเคมีภัณฑ์ก่อนทำการจำหน่ายให้กับลูกค้าตามความต้องการของลูกค้า ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จ และสามารถเปิดให้บริการได้ภายในไตรมาสที่ 2 ของปีนี้
ในขณะเดียวกันบริษัทฯยังเดินหน้าขยายกลุ่มลูกค้าทั้งในประเทศ และต่างประเทศตามแผนที่ได้วางไว้ ด้วยการลงทุนจัดตั้งสำนักงานสาขาในจังหวัดนครพนม และอำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา โดยจะใช้เงินลงทุนประมาณสาขาละ 3 ล้านบาท โดยคาดว่าจะแล้วเสร็จ และสามารถเปิดให้บริการได้ภายในไตรมาสที่ 3 ของปีนี้ รวมถึงแผนในการลงทุนตั้งสำนักงานสาขาในสาธารณรัฐแห่งสหภาพพม่า และราชอาณาจักรกัมพูชา โดยจะใช้เงินลงทุนประมาณสาขาละ 5 ล้านบาท คาดว่าจะดำเนินการแล้วเสร็จ และสามารถเปิดให้บริการได้ภายในปี 2561 เพื่อเป็นการขยายตลาดไปยังประเทศเพื่อนบ้านซึ่งมีโอกาสในการเติบโตที่สูงในอนาคต
"ภาพรวมของอุตสาหกรรมในปีนี้มีทิศทางที่ดีขึ้น ทำให้เราเตรียมรองรับการขยายตัวด้วยการเดินหน้าพัฒนาสินค้า และบริการสำหรับลูกค้าเดิม รวมถึงหาสินค้าใหม่ ๆ เพื่อนำมาตอบสนองความต้องการของลูกค้าให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เพิ่มทีมงานขายให้มากขึ้น และที่สำคัญเรามุ่งมั่นที่จะบริหารจัดการต้นทุนขาย และค่าใช้จ่ายที่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เพื่อทำให้ผลประกอบการสามารถเติบโตขึ้นจากปีที่ผ่านมาได้" ดร.วิทยากล่าว
ทั้งนี้ผลประกอบการของบริษัทฯประจำไตรมาสแรกของปี 2560 สิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2560 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 11.77 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.00 ล้านบาท หรือเพิ่มสูงขึ้นมากกว่า 20 % เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 9.77 ล้านบาท (ทั้งนี้หากไม่นำค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว หรือ One Time จำนวน 2.5 ล้าบาท จากการ IPO มาคำนวณ จะทำให้กำไรสุทธิของบริษัทฯในไตรมาสที่ 1 ปี 2560 เติบโตที่ 40.98% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน) ในขณะที่บริษัทฯมีรายได้รวมจากการจัดจำหน่าย และให้บริการเคมีภัณฑ์ชนิดพิเศษอยู่ที่ 159.64 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.18 ล้านบาท หรือคิดเป็นเพิ่มขึ้น 5.40% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีรายได้รวมจากการจัดจำหน่าย และให้บริการเคมีภัณฑ์ชนิดพิเศษอยู่ที่ 151.46 ล้านบาท