"อิสราเอลถือเป็นอีกหนึ่งประเทศที่ประสบความสำเร็จในการนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาใช้ในภาคเกษตร ดังนั้น การลงนามความร่วมมือที่จะเกิดขึ้นในอนาคตนั้น จะส่งผลให้ไทยได้เรียนรู้เทคโนโลยีของอิสราเอล เพื่อนำมาปรับปรุงและพัฒนาการเกษตรของไทยให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ขณะที่อิสราเอลจะมีลู่ทางในการส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีของอิสราเอลในประเทศไทยด้วย" พลเอก ฉัตรชัย กล่าว
สำหรับโครงการแปลงสาธิตการเกษตรที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงจากอิสราเอลภายใต้กรอบความร่วมมือนี้ ฝ่ายไทยเตรียมเสนอ "โครงการเพิ่มประสิทธิภาพการเกษตรและการใช้น้ำในพื้นที่ชลประทานอ่างเก็บน้ำห้วยประดู่ โครงการชลประทานมหาสารคาม จ.มหาสารคาม" ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ประสบปัญหาดินเค็ม ดินทรายจัด แลดินปนกรวด เกิดภาวะภัยแล้งและฝนทิ้งช่วงทุกปี ทำให้แหล่งน้ำผิวดินไม่เพียงพอในการทำเกษตร จึงจะเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากประเทศอิสราเอลที่มีความเชี่ยวชาญ และมีประสบการณ์การศึกษาและพัฒนาองค์ความรู้และเทคโนโลยีในการผลิตสินค้าเกษตรภายใต้สภาวะวิกฤติขาดแคลนน้ำและความแห้งแล้ง
ขณะเดียวกัน นอกจากในด้านการพัฒนาองค์ความรู้ในด้านการเกษตรแล้ว ความร่วมมือที่จะเกิดขึ้นจะส่งให้สองประเทศมีการค้าการลงทุนสินค้าเกษตรระหว่างกันเพิ่มมากขึ้น ซึ่งปัจจุบันอิสราเอลเป็นตลาดส่งออกสินค้าเกษตรอันดับที่ 29 ของไทย ที่ในแต่ละปีไทยส่งสินค้าเกษตรส่งออกไปอิสราเอลมีมูลค่าการส่งออกเฉลี่ยปีละ 4,364 ล้านบาท และมีอัตราการส่งออกเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 4.82 ต่อปี โดยสินค้าส่งออกสำคัญของไทย เช่น ปลาทูน่า ข้าว พืชผัก ผลไม้ สับปะรด เป็นต้น