บริษัท อิงเกรส อินดัสเตรียล (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) หรือ INGRS วางแผนระดมทุนเพื่อขยายฐานการผลิตในเอเชีย และ อินเดีย โดยในปัจจุบัน บริษัทมีบริษัทย่อยทั้งหมด 9 บริษัท ใน 4 ประเทศ พรั่งพร้อมด้วยเทคโนโลยีระดับสูง และฐานลูกค้าขนาดใหญ่ เตรียมรองรับอุตสาหกรรมรถยนต์อาเซียนฟื้นตัวแรงและตลาดอินเดียที่เติบโตสูง
นายอับดุล ราฮิม บินฮายี ฮิตัม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อิงเกรส อินดัสเตรียล (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) หรือ (INGRS) กล่าวว่า "บริษัทฯ เป็นผู้นำของอาเซียนในธุรกิจผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ที่ได้รับการส่งออกไปทั่วโลก โดยมีฐานการผลิตในประเทศไทย มาเลเซีย อินโดนีเซีย และอินเดีย โดยบริษัทมีวิสัยทัศน์เป็นบริษัทอาเซียนที่มีเครือข่ายทั่วโลก จึงได้พัฒนาความเชี่ยวชาญทั้งทางด้านเทคโนโลยี ความเชี่ยวชาญด้านการผลิตระดับสากล สามารถแข่งขันได้ในทุกตลาดสำคัญในอาเซียนซึ่งเป็นตลาดขนาดใหญ่ที่มีศักยภาพสูง ทำให้มีธุรกิจที่มั่นคงแข็งแรง"
INGRS มีจุดเด่นหลายประการคือ มีโรงงานที่ใช้เทคโนโลยีระดับสูง ที่เน้นผลิตสินค้าที่มีคุณภาพสูง ให้กับกลุ่มผู้ผลิตรถยนต์ชั้นนำอาทิ ฮอนดา มิตซูบิชิ ฟอร์ด มาสด้า
เจนเนอรัล มอร์เตอร์ อีซูซุ ซูซุกิ นิสสัน โตโยตา ไดฮัทสุ เพอโรดัว และโปรตอน รวมถึงบริษัทรถยนต์ในอินเดียอาทิ มารูติ-ซูซุกิ เฟียต และ มหินดรา-มหินดรา และด้วยการมีฐานการผลิต 10 แห่งใน 4 ประเทศ สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวดเร็ว และมั่นคง ทั้งในด้านคุณภาพ ต้นทุน และการส่งมอบสินค้า ทำให้ธุรกิจของบริษัทฯมีความมั่นคงสูง
INGRS มุ่งเน้นการผลิตชิ้นส่วนยานยนต์แบบครบวงจร ตั้งแต่การวิจัยพัฒนาสายการผลิต การออกแบบและผลิตเครื่องมือ การผลิตชิ้นส่วน การปรับปรุงกระบวนการผลิตอย่างต่อเนื่อง การตลาดและการขายสินค้าให้กลุ่มลูกค้าที่หลากหลาย ทั้งกลุ่มรถยนต์นั่ง (Passenger cars) รถตรวจการณ์ (SUV) รถกระบะขนาด 1 ตัน (Pickup Trucks) และ รถบรรทุกขนาดเล็กให้กับลูกค้าต่างๆในประเทศอาเซียน ซึ่งการมีฐานธุรกิจในหลายประเทศ ทำให้บริษัทมีโอกาสในการเติบโตของรายได้และกำไรในอนาคต จากหลายประเทศ
ผลิตภัณฑ์หลักของบริษัทฯ มี 3 กลุ่มคือ ผลิตภัณฑ์รีดขึ้นรูป (Roll Forming Products) ผลิตภัณฑ์ปั๊มขึ้นรูปและโมดุล (Stamping & Module Assembly Products) และเครื่องมือยึดจับและแม่พิมพ์ (Tool & Dies) และ ระบบการผลิตแบบอัตโนมัติ (Automation Integration Solutions)
นาย อับดุล ราฮิม กล่าวว่า "อนึ่งสำหรับงบปี 2560 สิ้นสุด 31 มกราคม 2560 บริษัทฯ มีรายได้รวม 2,916 ล้านบาทและมีกำไรสุทธิสำหรับปี* 210.40 ล้านบาท
(หลังจากหักค่าใช้จ่ายทางภาษีตามเกณฑ์ใหม่ที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวจำนวน 32 ล้านบาท) ซึ่งกำไรเติบโตขึ้น 19% จากกำไรสำหรับปี* 177 ล้านบาทในปี 2558 แม้นรายได้รวมจะลดลงจาก 3,159 ล้านบาท ตามสภาวะอุตสาหกรรมรถยนต์ที่ชะลอตัว เนื่องจาก
บริษัทมีอัตรากำไรสุทธิ (เน็ตมาร์จิ้น) ที่พุ่งขึ้น เป็นร้อยละ 7.2 โดยบริษัทฯคาดว่า จะได้รับประโยชน์จากสภาพเศรษฐกิจของอาเซียนที่ปรับตัวดีขึ้นและจากการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ๆสู่ตลาด"
นอกจากจุดแข็งด้านคณะผู้บริหารที่มีประสบการณ์สูงและบุคคลากรมืออาชีพแล้ว บริษัทยังได้รับการสนับสนุนจากพันธมิตรทางธุรกิจที่สำคัญจากประเทศญี่ปุ่นคือ บริษัท คาตายามา โคเกียว จำกัด , บริษัท เมทัล เท็ค จำกัด และบริษัท อิวาโมโต จำกัด
" ปัจจุบันบริษัทฯได้แปรสภาพเป็นมหาชน และมีทุนที่ออกและเรียกชำระแล้ว 1,185,380,190 บาท (มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท) ภายหลัง IPO คาดว่าจะมทุนจดทะเบียน 1,446,942,690 บาท"
หมายเหตุ
* กำไรสำหรับปี (ก่อนหักส่วนที่เป็นของผู้มีส่วนได้เสียที่ไม่มีอำนาจควบคุมของบริษัทย่อย)