นายสิทธิพร รัตนาภรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน บริษัท เจ.เอส.พี.พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ JSP เปิดเผยว่า ทิศทางธุรกิจของบริษัทในปีนี้มีแนวโน้มเติบโตในเกณฑ์ดี และมีแผนขยายโครงการใหม่ทั้งแนวราบและแนวสูง มูลค่ารวมกว่า4,000 ล้านบาท อาทิ โครงการ เจ แกรนด์ สาทร-กัลปพฤกษ์, เจ ซิตี้ รัตนาธิเบศร์-บางบัวทอง, เจ วิลล่า วงแหวนบางใหญ่, เจ ซิตี้ อัสสัมชัญ-ศรีราชา เจ คอนโด บางเสร่ และโครงการย่านพระราม 4 จากแผนการขยายธุรกิจดังกล่าว บริษัทจะทำการออกและเสนอขายหุ้นกู้ในวงเงินไม่เกิน 1,200 ล้านบาทเพื่อระดมทุน
โดยเป็นหุ้นกู้ อายุ 1 ปี 6 เดือน อัตราดอกเบี้ยคงที่ 6 % จ่ายดอกเบี้ยทุก 3 เดือน โดยเสนอขายต่อผู้ลงทุนสถาบันและผู้ลงทุนรายใหญ่ ซึ่งจะเปิดจองซื้อวันที่ 15 – 16 และ 19 – 20 มิ.ย. 2560 มีบริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด บริษัทหลักทรัพย์ เออีซี จำกัด (มหาชน) และ บริษัทหลักทรัพย์ ยูโอบี เคย์เฮียน(ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ ทั้งนี้บริษัทได้ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูล (ไฟลิ่ง) ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
"วัตถุประสงค์ของการออกหุ้นกู้ในครั้งนี้ นอกเหนือจากระดมทุนเพื่อขยายธุรกิจ ก่อสร้าง-พัฒนาโครงการใหม่ และเป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินงาน" นายสิทธิพร กล่าว
นายไพโรจน์ วัฒนวโรดม กรรมการผู้จัดการบริษัท เจ.เอส.พี.แอสพลัส จำกัด และรองกรรมการผู้จัดการอาวุโส บริษัท เจ.เอส.พี. พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า สำหรับภาพรวมธุรกิจของบริษัทปัจจุบัน มีแบ็กล็อกในมือกว่า 4,000ล้านบาท ซึ่งจะรับรู้รายได้ภายในปีนี้ประมาณ 3,000 ล้านบาท และส่วนที่เหลือจะทยอยรับรู้รายได้ในต้นปี 2561 ขณะเดียวกันบริษัทได้ทยอยเปิดโครงการแนวราบกลุ่มราคาต่ำกว่า 5 ล้านบาท โดยเน้นพัฒนาโครงการในพื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑลเป็นหลัก ซึ่งจะดำเนินการพรีเซลและโอนกรรมสิทธิ์ค่อนข้างเร็ว
ทั้งนี้คาดว่าภายในปีนี้จะมียอดโอนอยู่ที่ 5,067 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่มียอดโอนอยู่ที่ 3,050 ล้านบาท โดยแบ่งออกเป็นโครงการแนวราบ เช่น ทาวน์เฮ้าส์, บ้านแฝด จำนวน 3,142 ล้านบาท หรือคิดเป็น 62% โครงการคอนโดมิเนียม จำนวน 940 ล้านบาท หรือคิดเป็น 19% และโครงการอาคารพาณิชย์ จำนวน 985 ล้านบาท หรือคิดเป็น 19% ขณะที่เป้าหมายรายปีนี้อยู่ที่ 5,000 ล้านบาท หรือเติบโตไม่น้อยกว่า 20%
ส่วนผลประกอบการไตรมาส 1 ปี 2560 บริษัทมีรายได้รวม 1,043 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวม 539 ล้านบาท จำนวน 504 ล้านบาท หรือปรับตัวเพิ่มขึ้น 93.50% และมีกำไรสุทธิ 48 ล้านบาท โดยบริษัทและบริษัทย่อยมียอดโอนรวมกันจำนวน 2,864 ยูนิต และมีรายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ของบริษัทและบริษัทย่อยอยู่ที่ 999 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้น 475 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 524 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 90.65% และมีรายได้จากการให้เช่าและบริการของบริษัทฯและบริษัทย่อย 24 ล้านบาท ผลประกอบการมีอัตราการเติบโตเนื่องจากการรับรู้รายได้การโอนกรรมสิทธิ์เข้ามาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว อีกทั้งกำลังซื้อของผู้บริโภคเริ่มกลับมา จึงส่งผลให้บริษัทมีผลประกอบการสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้