"ส่วนภาวะตลาดตราสารหนี้ไทยในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2560 แม้ว่าธนาคารกลางของสหรัฐฯ(FED) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 1 ครั้งในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา โดยปรับขึ้น 0.25% และล่าสุดคาดว่าจะปรับเพิ่มขึ้นอีก 0.25% ในการประชุม FOMC ที่จะถึงในวันที่ 13-14 มิถุนายนนี้ แต่ตราสารหนี้ไทยได้รับผลกระทบน้อยกว่าเมื่อเทียบกับการปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยเมื่อช่วงปลายปี 2559 โดยแนวโน้มอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลของไทยที่มีอายุ 1-20 ปี ปรับตัวลดลงเพียง 0.05-0.20% เนื่องจากประมาณการอัตราดอกเบี้ยนโยบายในระยะยาวของผู้แทน FED (longer run dot plot) ไม่มีการเปลี่ยนแปลงมากนัก และการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจภายในประเทศยังคงดำเนินไปอย่างช้าๆ และอัตราการเติบโตของสินเชื่อธนาคารพาณิชย์ไทยอยู่ในระดับต่ำ ทำให้สภาพคล่องในระบบยังคงอยู่สูง และเศรษฐกิจไทยยังมีสถานะเกินดุลการค้าและดุลบัญชีเดินสะพัดอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ตลาดพันธบัตรของไทยยังเป็นที่สนใจของนักลงทุนต่างชาติ โดยตั้งแต่ต้นปีถึง ณ เดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา มีเงินลงทุนสุทธิจากนักลงทุนกลุ่มนี้เพิ่มขึ้นเกือบ 9 หมื่นล้านบาท นอกจากนี้คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีแนวโน้มคงอัตราดอกเบี้ยไทยอยู่ที่ระดับ1.50% ไปจนถึงสิ้นปี ซึ่งเป็นระดับที่เหมาะสมต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ ประกอบกับความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลกและปัญหาการเมืองในหลายประเทศ ทำให้นักลงทุนส่วนหนึ่งยังคงต้องการเข้าลงทุนในสินทรัพย์ปลอดภัยและกระจายลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำอย่างตราสารหนี้ ซึ่งเหล่านี้จะเป็นปัจจัยบวกทำให้ราคาตราสารหนี้ไทยยังอยู่ในทิศทางที่ดีและมีความน่าสนใจลงทุน" นายชัชชัยกล่าว
นายชัชชัยกล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับกลยุทธ์การลงทุนในช่วงครึ่งปีหลัง กองทุนตราสารหนี้ของบลจ.กสิกรไทยจะเน้นการปรับอายุเฉลี่ยของตราสารที่ลงทุน ให้สอดคล้องกับแนวโน้มของตลาด และมีการจับจังหวะการลงทุนเพื่อโอกาสสร้างผลตอบแทนที่เพิ่มขึ้น โดยบลจ.กสิกรไทยมีกองทุนตราสารหนี้ให้เลือกหลากหลายตามระดับความเสี่ยงที่เหมาะสมและระยะเวลาที่ต้องการลงทุน ซึ่งผู้ลงทุนสามารถเลือกลงทุนได้ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว สำหรับผู้ลงทุนที่ยอมรับความเสี่ยงได้น้อยมากและต้องการพักเงินในช่วงระยะสั้นประมาณ 1-2 เดือน อาจเลือกลงทุนในกลุ่มกองทุนตลาดเงินหรือกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้น อาทิ กองทุน K-MONEY และกองทุน K-SF ซึ่งทั้ง 2 กองทุนดังกล่าวจะเน้นลงทุนในเงินฝากและตราสารหนี้ทั้งในและต่างประเทศ โดยจะลงทุนในต่างประเทศไม่เกิน 30% และ 50% ตามลำดับ ส่วนผลการดำเนินงานที่ผ่านมาของกองทุนให้ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปี อยู่ที่ 1.00% และ 1.30% ตามลำดับ (ข้อมูล ณ วันที่ 26 พ.ค. 60)
สำหรับผู้ที่สามารถลงทุนได้ตั้งแต่ 6 เดือนขึ้นไป บลจ.กสิกรไทยแนะนำกองทุน K-PLAN 1 ซึ่งมีนโยบายลงทุนในเงินฝาก รวมถึงตราสารหนี้ภาครัฐและเอกชนทั้งในและต่างประเทศ โดยจะลงทุนในต่างประเทศได้ไม่เกิน 20% ทั้งนี้กองทุนให้ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปี อยู่ที่ 1.50% และกองทุนยังได้รับการจัดอันดับ 4 ดาวจากมอร์นิ่งสตาร์ ส่วนผู้ลงทุนที่สามารถลงทุนได้ในระยะกลางถึงยาวตั้งแต่ช่วง 1-3 ปี และสามารถรับความเสี่ยงได้เพิ่มขึ้น ก็สามารถเลือกลงทุนกับกองทุน K-FIXED ที่มีนโยบายลงทุนในตราสารหนี้ไทยทั้งภาครัฐและเอกชน โดยกองทุนให้ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปีอยู่ที่ 1.46% ผลตอบแทนย้อนหลัง 3 ปีอยู่ที่ 3.11% ต่อปี นอกจากนี้กองทุน K-FIXED ยังได้รับการจัดอันดับ 5 ดาวจากมอร์นิ่งสตาร์ (ข้อมูล ณ วันที่ 26 พ.ค. 60) และได้รับรางวัลกองทุนตราสารหนี้ยอดเยี่ยมถึง 3 ปีซ้อน จาก Morningstar Thailand Fund Awards 2015 -2017
นอกจากนี้เพื่อเป็นทางเลือกสำหรับผู้ลงทุนที่ต้องการล็อกโอกาสรับผลตอบแทนที่แน่นอน อาจเลือกลงทุนกับกองทุนตราสารหนี้ต่างประเทศประเภทที่มีกำหนดอายุโครงการ (Term Fund) ซึ่งบลจ.กสิกรไทยได้เปิดเสนอขายเป็นประจำทุกสัปดาห์ โดยกองทุนที่เปิดเสนอขายในระหว่างวันที่ 6 – 12 มิถุนายน 2560 ประกอบด้วย 2 กองทุน ได้แก่ กองทุนเปิดเค ตราสารหนี้ต่างประเทศ 6 เดือน ดีเจ (KFF6MDJ) ประมาณการผลตอบแทนที่ผู้ถือหน่วยลงทุนคาดว่าจะได้รับที่ 1.50% ต่อปี และกองทุนเปิดเค ตราสารหนี้ต่างประเทศ 1 ปี ซีแซท (KFF1YCZ) ประมาณการผลตอบแทนที่ผู้ถือหน่วยลงทุนคาดว่าจะได้รับที่ 1.70% ต่อปี โดยทั้ง 2 กองทุนดังกล่าวจะเน้นลงทุนในเงินฝากและบัตรเงินฝากของธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินในต่างประเทศ และกองทุนมีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนทั้งจำนวน
สำหรับผู้ที่สนใจลงทุนกับกองทุนตราสารหนี้ของบลจ.กสิกรไทย สามารถลงทุนเริ่มต้นเพียง 500 บาท โดยสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมและขอรับหนังสือชี้ชวนเสนอขายได้ที่ธนาคารกสิกรไทยทุกสาขา หรือสอบถาม KAsset Contact Center 0 2673 3888