1.ความได้เปรียบจากทำเลที่ตั้งและต้นทุนที่ดิน กล่าวคือ ได้ประโยชน์จากการขยายเส้นทางรถไฟฟ้าสายสีเขียว บีทีเอส ซึ่งปัจจุบันอยู่ในระหว่างการก่อสร้างไปถึงสมุทรปราการและถนนแพรกษา โดยสถานีสำโรงเปิดให้บริการแล้วในปัจจุบัน รถไฟฟ้าสายสีเขียวซึ่งเชื่อมต่อกับศูนย์กลางธุรกิจสำคัญย่านสุขุมวิท เพลินจิต สีลม และย่านการค้าสยาม นั้นช่วยให้คนทำงานกลางเมืองเดินทางเข้าถึงแหล่งงานและแหล่งช้อปปิ้งสำคัญย่านทองหล่อและสยามได้อย่างสะดวกรวดเร็ว เพียง 16 – 30 นาทีจากสถานีสำโรง นอกจากนี้สถานีสำโรงยังเป็นสถานีเชื่อมต่อรถไฟฟ้าสายสีเหลือง ลาดพร้าว-บางกะปิ-ศรีนครินทร์-เทพารักษ์-สำโรง ซึ่งเป็นย่านที่อยู่อาศัยที่สำคัญของกรุงเทพด้วย
และสิ่งที่สำคัญในการพัฒนาโครงการก็คือต้นทุนที่ดินในย่านนี้ ยังมีราคาที่สามารถจับต้องได้ ราคาไม่แพงจนเกินไป ซึ่งจะทำให้ราคาขายคอนโดในย่านนี้ยังมีราคาขายที่สามารถซื้อหามาเป็นเจ้าของได้
2. เป็นย่านที่พัฒนาแล้ว มีสาธารณูปโภคและบริการสาธารณะครบถ้วน มีโครงการพัฒนาเชิงพาณิชย์หลายโครงการ เช่น เป็นที่ตั้งของตลาดสำโรง ศูนย์การค้าอิมพีเรียลสำโรง ศูนย์แสดงสินค้าไบเทค มีโครงการบางกอกมอลล์ซึ่งเป็นศูนย์การค้าขนาดใหญ่มาก พัฒนาโดยกลุ่มเดอะมอลล์ บนที่ดินกว่า 100 ไร่ และโครงการอาคารสำนักงานภิรัชทาวเวอร์ซึ่งอยู่ในระหว่างการก่อสร้าง เป็นต้น
3. อยู่ใกล้แหล่งงานในพื้นที่ ถนนปู่เจ้าสมิงพราย ถนนเทพารักษ์ และสมุทรปราการซึ่งเป็นย่านอุตสาหกรรมที่สำคัญ สำโรงจึงกลายเป็นจุดศูนย์กลางเชื่อมต่อพื้นที่ระหว่างพาณิชยกรรมและอุตสาหกรรม ซึ่งเหมาะแก่การอยู่อาศัย
จากผลวิจัยของไนท์แฟรงค์ประเทศไทยระบุว่า ณ ไตรมาสแรกของปีนี้จำนวนอุปทานคอนโดมิเนียมในย่านถนนสุขุมวิท ช่วงสี่แยกบางนาถึงสมุทรปราการมีทั้งสิ้น 27,916 หน่วย โดยมีจำนวนหน่วยคอนโดมิเนียมถูกขายไปได้ทั้งสิ้น 18,956 หน่วย คิดเป็นอัตราการขายที่ร้อยละ 67.9 อัตราการขายปรับตัวขึ้นจากปีพ.ศ. 2558 ซึ่งอยู่ในอัตราร้อยละ 62.8 โดยอัตราการขายคอนโดมิเนียมบริเวณนี้พบว่ามีอัตราการขายต่อปี อยู่ที่ประมาณ 3,500 – 4,500 หน่วยต่อปี
การขยายตัวของตลาดคอนโดมิเนียมในบริเวณนี้ (บางนา-สมุทรปราการ) มีปริมาณอุปทานเพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วงปี 2557 และ 2558 (มีอุปทานใหม่เพิ่มสูงถึง 6,642 หน่วยและ 7,292 หน่วยตามลำดับ) ซึ่งปี 2556 เป็นปีที่เริ่มโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยายจากสถานีแบริ่งไปสมุทรปราการ ขณะที่ปี 2559 มีอุปทานใหม่เพียง 3,836 หน่วยและไตรมาสแรกของปี 2560 มีอุปทานใหม่เพียง 972 หน่วย ซึ่งสอดคล้องกับสภาวะตลาดในภาพรวม ส่วนอุปสงค์นั้นมีอัตราการซื้อห้องชุดในบริเวณนี้ประมาณ 3,500 – 4,500 หน่วยต่อปี เมื่อพิจารณาแนวโน้มตลาดโดยรวมแล้ว ภาพรวมของตลาดยังถือว่าอยู่ในสภาพที่ดี อุปทานมีการปรับตัวสอดรับกับอุปสงค์ที่มีอยู่ในตลาด
ในส่วนระดับราคาขายคอนโดมิเนียมในบริเวณสุขุมวิทตอนปลาย ณ ปัจจุบันเฉลี่ยอยู่ที่ 78,157 บาท ต่อ ตารางเมตร โดย อัตราเติบโตเฉลี่ยสะสมของราคาขายคอนโดมิเนียมในบริเวณสุขุมวิทตอนปลายมีอัตราเติบโตเฉลี่ยสะสมอยู่ที่อัตราร้อยละ 5.6 ต่อปี โดยระดับราคาขายเฉลี่ยปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงสุดถึงร้อยละ 7 ต่อปี อันเนื่องมาจากความคืบหน้าของการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีเขียวในส่วนต่อขยาย คาดว่าราคาขายคอนโดมิเนียมในบริเวณนี้จะปรับตัวสูงขึ้นอีกในปีพ.ศ. 2561-2563 เมื่อรถไฟฟ้าส่วนต่อขยายสายสีเขียวเปิดให้บริการตลอดเส้นทางในปีพ.ศ. 2563
โครงการ Metropolis Samrong Interchange ตึก B เป็นอาคาร อาคารสูง 30 ชั้น จำนวน 552 ยูนิต ขายพร้อมเฟอร์นิเจอร์ครบชุด(Fully Furnished) มีตั้งแต่แบบสตูดิโอถึง 2 ห้องนอน โดยภายในโครงการมีส่วนร้านค้าสำหรับลูกบ้านพร้อม สระว่ายน้ำไร้ขอบระบบเกลือ สระว่ายน้ำเด็ก ห้องออกกำลังกาย ห้องไดร์ฟกอล์ฟ และสวนพักผ่อน โครงการนี้ตั้งอยู่ติดรถไฟฟ้าบีทีเอสสถานีสำโรง ราคาเริ่มต้น 2.5 ล้าน โครงการ Metropolis Samrong Interchange ประกอบด้วยอาคารคอนโดมิเนียมพักอาศัย 3 อาคาร โดยอาคาร A และอาคาร C เปิดขายเมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา ลูกค้าให้การตอบรับอย่างดี ปัจจุบันปิดการขายแล้วลูกค้าให้ความสนใจมาก การเลือกใช้วัสดุตกแต่งภายในห้องชุดมีคุณภาพดีและทำเลที่ตั้งโครงการดีมากติดสถานีรถไฟฟ้า