บลจ.กสิกรไทย จ่ายปันผลกองทุน ABFTH ผู้ลงทุนเตรียมรับเงิน 22 มิ.ย. นี้ รวมมูลค่ากว่า 56 ล้านบาท

พุธ ๒๑ มิถุนายน ๒๐๑๗ ๑๑:๑๖
บลจ.กสิกรไทย เดินหน้าจ่ายปันผลกองทุน ABFTH พร้อมเผยกองทุน ETF กองแรกของประเทศ ยังโชว์ฟอร์มแจ่ม ตั้งแต่จัดตั้งกองจ่ายแล้ว 23 ครั้ง รวมเป็นเงินกว่า 398 บาท/หน่วย

นายชัชชัย สฤษดิ์อภิรักษ์ รองกรรมการผู้จัดการและประธานบริหารการลงทุนตราสารหนี้ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด (บลจ. กสิกรไทย) เปิดเผยว่า บลจ.กสิกรไทย เตรียมจ่ายเงินปันผลกองทุนเปิดดัชนีพันธบัตรไทยเอบีเอฟ (ABFTH) สำหรับผลการดำเนินงานตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2559 - 31 พฤษภาคม 2560 โดยจ่ายเงินปันผลในอัตรา 7.00 บาทต่อหน่วย มูลค่าการจ่ายเงินปันผลรวม 56.2 ล้านบาท โดยจะจ่ายให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุนที่มีรายชื่อในสมุดทะเบียน ณ วันที่ 15 มิถุนายน 2560 และมีกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 22 มิถุนายน 2560

"สำหรับผลการดำเนินงานของกองทุนที่ผ่านมา กองทุนสามารถสร้างผลการดำเนินงานอยู่ในระดับที่น่าพอใจ และสามารถจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ลงทุนได้อย่างสม่ำเสมอตลอดระยะเวลากว่า 10 ปี นับตั้งแต่จัดตั้งกองทุนเมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2549 โดยกองทุนมีการจ่ายเงินปันผลไปแล้ว 23 ครั้ง รวมทั้งสิ้นเป็นเงิน 398.73 บาทต่อหน่วย ส่วนในรอบผลการดำเนินงาน 6 ที่ผ่านมา (1 ธ.ค.59 – 31 พ.ค.60) กองทุนให้ผลตอบแทนอยู่ที่ 0.80% ขณะที่เกณฑ์มาตรฐานอยู่ที่ 0.78% ส่วนผลการดำเนินงานย้อนหลัง 3 ปี ให้ผลตอบแทนอยู่ที่ 4.39% ต่อปี ขณะที่เกณฑ์มาตรฐานอยู่ที่ 4.54% ต่อปี" นายชัชชัยกล่าว

สำหรับจุดเด่นของกองทุน ABFTH คือ เป็นกองทุนรวม ETF กองทุนแรกของไทยที่มีการลงทุนโดยอ้างอิงกับดัชนีตราสารหนี้ภาครัฐ (iBoxx ABFTH Index) โดยกองทุนมีนโยบายลงทุนในตราสารหนี้ที่ออกโดยรัฐบาลไทย หรือออกโดยภาครัฐที่มีรัฐบาลไทยเป็นผู้ค้ำประกัน หรือได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือไม่ต่ำกว่าระดับที่สามารถลงทุนได้ (Investment Grade) จากสถาบันจัดอันดับที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล จึงมีความเสี่ยงด้านการผิดนัดชำระหนี้ต่ำมาก และมีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่สูงเนื่องจากกองทุนมีอายุเฉลี่ยของตราสาร (Portfolio Duration) ยาวกว่ากองทุนรวมตราสารหนี้ทั่วไป ซึ่งเหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการกระจายการลงทุนในกองทุนรวมตราสารหนี้ระยะยาว และต้องการบริหาร Portfolio Duration ที่มีระยะเวลาเฉลี่ยประมาณ 6-7 ปี เพื่อโอกาสรับผลตอบแทนที่สูงขึ้นกว่าตราสารหนี้ระยะสั้น โดยปัจจุบันกองทุนมีขนาดประมาณ 9,700 ล้านบาท และจดทะเบียนซื้อขายอยู่ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET)

นายชัชชัยกล่าวต่อไปว่า สถานการณ์ตลาดตราสารหนี้ไทยในช่วงที่ผ่านมา นับตั้งแต่ต้นปีตราสารหนี้ไทยค่อนข้างมีความผันผวน โดยปัจจัยหลักมาจากการคาดการณ์ของตลาดต่อการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) ซึ่งตั้งแต่ต้นปี 2560 สหรัฐฯ มีการปรับขึ้นดอกเบี้ยไปแล้ว 2 ครั้ง โดยครั้งล่าสุดปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นอีก 0.25% ในการประชุมเมื่อวันที่ 13-14 มิ.ย.ที่ผ่านมา ทั้งนี้ผลจากการปรับขึ้นดอกเบี้ยครั้งนี้ ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อตลาดตราสารหนี้ไทยเหมือนกับการปรับขึ้นดอกเบี้ยเมื่อช่วงปลายปี 2559 เนื่องจากตลาดมีการรับรู้ล่วงหน้าไปมากแล้ว และผลที่ออกมาก็เป็นไปตามที่คาดการณ์ ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยทั้งระยะสั้นและระยะยาวปรับตัวลดลง โดยตั้งแต่ต้นปีถึงวันที่ 16 มิ.ย. 60 อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยอายุ 10 ปี ปรับตัวลดลง 0.14% เป็นไปทางทิศทางเดียวกันกับอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปี ที่ปรับตัวลดลง 0.29% สะท้อนให้เห็นว่ายังมีแรงซื้อจากนักลงทุนที่มีความต้องการเข้าลงทุนในตราสารหนี้

ส่วนแนวโน้มตลาดตราสารหนี้ไทยในช่วงครึ่งปีหลัง นายชัยชัยกล่าวว่า ยังมีปัจจัยที่จะต้องติดตาม โดยเฉพาะเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ว่าจะสามารถฟื้นตัวได้ตามที่คาดการณ์ไว้หรือไม่ เนื่องจากระดับอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐฯ ยังอยู่ในระดับต่ำกว่าเป้าหมาย ซึ่งจะส่งผลทำให้การปรับขึ้นดอกเบี้ยน่าจะเป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยคณะกรรมการนโยบายการเงิน (FOMC) ส่วนใหญ่คาดว่า FED น่าจะปรับขึ้นดอกเบี้ยอีก 1 ครั้งในเดือนธ.ค.นี้ ซึ่งสวนทางกับตลาดที่มองว่าโอกาสปรับขึ้นมีเพียง 30-40%

ทั้งนี้ปัจจัยดังกล่าวจะมีผลต่อกระแสเงินทุนเคลื่อนย้าย โดยบลจ.กสิกรไทยมองแนวโน้มในครึ่งปีหลังว่า ยังมีโอกาสเห็นเม็ดเงินลงทุนต่างชาติที่ไหลเข้ามาลงทุนในตราสารหนี้ไทยอยู่บ้าง แต่อาจไม่มากเหมือนในครึ่งปีแรกที่ผ่านมา เนื่องจากมาตรการของธนาคารแห่งประเทศไทยที่ปรับลดปริมาณเสนอขายพันธบัตรระยะสั้นลง เพื่อป้องกันการใช้เป็นแหล่งพักเงินของนักลงทุนต่างชาติ และอาจมีเงินทุนต่างชาติไหลออกได้บ้างในระยะสั้น จากการขายคืนทำกำไรในช่วงที่เงินบาทแข็งค่าขึ้น อย่างไรก็ตาม ในระยะยาวตลาดตราสารหนี้ไทยยังมีความน่าสนใจ เนื่องจากเศรษฐกิจโลกที่มีความไม่แน่นอน รวมถึงความเสี่ยงด้านการเมืองในต่างประเทศ บวกกับปัจจัยภายในประเทศที่เศรษฐกิจไทยยังคงฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป ประกอบกับสภาพคล่องในระบบที่ยังมีอยู่สูง ทำให้นักลงทุนส่วนหนึ่งยังมีความต้องการเข้าลงทุนในตราสารหนี้ในฐานะเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย

ผู้ที่สนใจลงทุนในกองทุน ABFTH สามารถซื้อขายผ่านตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยหรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่บลจ.กสิกรไทย หรือ KAsset Contact Center 0 2673 3888

ข่าวประชาสัมพันธ์ล่าสุด

๑๕ พ.ย. ดิ เอราวัณ กรุ๊ป เปิดตัว HOP NextGen ชวนนักศึกษาเยี่ยมชม ฮ็อป อินน์ เรียนรู้เทคนิคบริการแบบ Consistency is Yours พร้อมพัฒนาบุคลากรรุ่นใหม่
๑๕ พ.ย. คิง เพาเวอร์ ต้อนรับเทศกาลแห่งความสุขส่งท้ายปี เปิดแคมเปญ THE POWER OF FUNTASTIC CELEBRATION 2025 ฉลองทุกความสุข สนุกไม่รู้จบ
๑๕ พ.ย. พันธุ์ไทย ชวนแฟนด้อม คัลแลนและพี่จอง จุ่ม การ์ดพันธุ์ไทยใจฟู ลิมิเต็ด อิดิชั่น
๑๕ พ.ย. BAM ทรานส์ฟอร์มองค์กรสู่ DIGITAL ENTERPRISE ตอกย้ำผู้นำ AMC ยุค 4.0 วางเป้าหมายยกระดับองค์กรสร้างโอกาสเติบโตอย่างยั่งยืน เตรียมส่ง อิสระ เดอะซีรีส์ ชวนลูกหนี้ BAM
๑๕ พ.ย. บางจากฯ ได้รับการประเมินด้านความยั่งยืนอันดับสูงสุดของโลก จาก SP Global 2024 ในกลุ่มอุตสาหกรรม Oil Gas Refinery and
๑๔ พ.ย. ซีเอเค อินเตอร์เนชั่นแนล ออกบูธให้ความรู้เรื่องการใช้งานระบบดับเพลิงนร. พระหฤทัยนนทบุรี
๑๒ พ.ย. พนักงานซีเอเค อินเตอร์เนชั่นแนล รับรางวัลเจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงานดีเด่น
๑๕ พ.ย. PROSPECT REIT ชูไตรมาส 3/67 โตเกินเป้า อัตราการเช่าพุ่งนิวไฮ หนุนจ่ายปันผลเด่น 0.2160 บาท
๑๕ พ.ย. CHAO ประกาศงบ Q3/67 กำไรพุ่งกว่า 62% รับตลาดส่งออกพีค จีนโตเด่น แย้ม Q4 เดินหน้าบุกตลาดในประเทศ สินค้าใหม่หนุนยอดขายปลายปี
๑๕ พ.ย. ฉลองเทศกาลลอยกระทงประจำปี 2567 ณ โรงแรมแมนดาริน โอเรียนเต็ล กรุงเทพฯ