ทั้งนี้บริษัทมีนโยบายเปิดกว้าง และพร้อมมองหาธุรกิจใหม่ที่มีความน่าสนใจอย่างต่อเนื่อง โดยจะพิจารณาการลงทุนอย่างรอบคอบ เพื่อคัดเลือกธุรกิจที่มีศักยภาพเข้ามาส่งเสริมการเติบโตของบริษัทในอนาคต และสร้างผลตอบแทนที่ดีให้ทุกฝ่าย
นายอารักษ์ สุขสวัสดิ์ กรรมการผู้จัดการ ECF เปิดเผยว่า ภาพรวมการดำเนินธุรกิจในช่วงที่ผ่านมา ธุรกิจเฟอร์นิเจอร์ทั้งในและต่างประเทศมีแนวโน้มที่ดี บริษัทมียอดจำหน่ายสูงขึ้นต่อเนื่อง จากการเพิ่มออร์เดอร์ของลูกค้าเดิม การขยายฐานลูกค้ารายใหม่ การออกผลิตภัณฑ์ใหม่ให้สอดรับกับความต้องการของตลาดในประเทศ
ขณะที่ธุรกิจร้านค้าปลีกรูปแบบร้าน 100 เยน Can Do มีกระแสตอบรับที่ดีขึ้นจากผู้บริโภค โดยเป็นผลจากการขยายสาขาอยู่ในโลเคชั่นที่ดี เป็นแหล่งชุมชนที่มีการขยายตัวสูง ปัจจุบันมีสาขารวม 8 แห่ง ได้แก่ ฟิวเจอร์พาร์ค รังสิต, ซีคอนสแควร์ ศรีนครินทร์, เดอะ พาซิโอ พาร์ค กาญจนาภิเษก, โฮมโปร รัตนาธิเบศร์, โฮมโปร ราชพฤกษ์, อินเด็กซ์ ลีฟวิ่ง มอลล์ บางใหญ่. ลิตเติ้ล วอล์ค บางนา และเมเจอร์รัชโยธิน ส่วนธุรกิจพลังงานทดแทน มีการลงทุนในโรงไฟฟ้าที่มีศักยภาพอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันมีการลงทุนประกอบด้วย โรงไฟฟ้า PWGE ขนาด 7.5 MW เริ่ม CODในเดือนมิถุนายนนี้ โรงไฟฟ้า GEP ขนาด 220 MW เมืองมินบู ประเทศพม่า ลงทุน 20% คาดว่าจะเริ่ม COD ในไตรมาสแรกปี 2561 และคณะกรรมการบริษัทได้อนุมัติให้ บริษัท เซฟ เอนเนอร์จี โฮลดิ้งส์ จำกัด (SAFE) บริษัทร่วมของบริษัท เข้าลงทุนในบริษัท เซฟ ไบโอแม็ส จำกัด ธุรกิจ โรงไม้สับ จ.นราธิวาส ในสัดส่วน 100% พร้อมทั้งเข้าลงทุนใน บริษัท บิน่า พูรี่ พาวเวอร์ (ไทยแลนด์) จำกัด โรงไฟฟ้าพลังงานเทคโนโลยีระบบผลิตก๊าซเชื้อเพลิงจากชีวมวล ขนาด 2 MWแบ่งเป็น 2 โครงการ โครงการละ 1 MW ตั้งอยู่ที่ อ.ลอง และ อ.สูงเม่น จ.แพร่ ในสัดส่วน 49%
"ธุรกิจและการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีหลังมีทิศทางที่ดี ECF สามารถสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่องทั้งจากธุรกิจผลิตและจำหน่ายเฟอร์นิเจอร์ ร้านค้าปลีก Can Do และธุรกิจพลังงานทดแทน มั่นใจว่าปีนี้รายได้จะเติบโตอย่างต่อเนื่อง และจะเป็นปีแรกที่จะเห็นความชัดเจนของรายได้จากการขยายธุรกิจสู่พลังงานทดแทน" นายอารักษ์ กล่าว