การท่องเที่ยวเรือสำราญ คือ ต้องการพัฒนายกระดับท่าเรือสำราญให้เป็น Port of call ที่มีคุณภาพมาตรฐานในระยะ 5 ปี ถัดจากนี้ และจะพัฒนาให้เป็น Home Port เช่นเดียวกับประเทศจีนและสิงคโปร์ ในอีกระยะ 10 ปีข้างหน้า
ในระยะที่ผ่านมา ประเทศไทยได้มีการพัฒนาปัจจัยพื้นฐานต่างๆ เพื่อรองรับการขยายตัวของตลาดนักท่องเที่ยวเรือสำราญไว้อย่างต่อเนื่องที่สำคัญ ได้แก่
1. การปรับปรุงท่าเรือแหลมฉบัง ท่าเรือกรุงเทพ และท่าเรือภูเก็ต การศึกษาความเหมาะสมและสำรวจออกแบบท่าเทียบเรือรองรับเรือ Cruise ที่จังหวัดกระบี่ และเกาะสมุย รวมถึงการพัฒนาระบบขนส่งมวลชน เพื่อเชื่อมโยงท่าเรือกับแหล่งท่องเที่ยว (เช่น รถไฟฟ้า รถไฟความเร็วสูง)
2. การประชาสัมพันธ์ให้บริษัทสายเดินเรือ Cruise และนักท่องเที่ยวรับทราบถึงศักยภาพและความพร้อม
ของประเทศไทยในการรองรับตลาดนักท่องเที่ยวเรือสำราญ
3. การพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวในพื้นที่เมืองหลักและเมืองรองทั่วประเทศ โดยเฉพาะในเขตพัฒนา
การท่องเที่ยวทั้ง 8 คลัสเตอร์ รวมทั้งการพัฒนาการยกระดับมาตรฐานสินค้าและบริการการท่องเที่ยว และมาตรการดูแลรักษา
ความปลอดภัยนักท่องเที่ยว
4. การปรับปรุงกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง เพื่ออำนวยความสะดวกในการเดินทางเข้าออกของเรือโดยสารและนักท่องเที่ยว รวมถึงการส่งเสริมการลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวข้อง
5. การพัฒนาบุคลากรการท่องเที่ยวเพื่อรองรับการขยายตัวของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวเรือสำราญ ได้แก่ อาชีพลูกเรือ ผู้ให้บริการบนเรือ ผู้ประกอบการและชุมชน
การมาเยือนประเทศไทยของเรือ Majestic Princess ในวันนี้ เป็นเรือลำใหม่ที่ออกแบบสำหรับตลาดเอเชียโดยเฉพาะ และกำลังเดินทางเข้ามาประจำการในเอเชีย โดยเชิญกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา คณะทำงานอำนวยความสะดวกการท่องเที่ยวด้วยเรือสำราญ (Cruise) สื่อมวลชน และแขกผู้มีเกียรติ จำนวนประมาณ 300 คน เยี่ยมชมเรือ Majestic Princess เพื่อศึกษาการบริหารจัดการเรือสำราญ (Cruise) นับได้ว่าเป็นจุดเริ่มต้นของการบูรณาการการทำงานระหว่างภาครัฐและเอกชน เพื่อเป้าหมายให้ประเทศไทยเป็น Maritime Hub ด้านการท่องเที่ยวเรือสำราญของอาเซียนต่อไป