นายสรพจน์ เตชะไกรศรี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เพซ ดีเวลลอปเมนท์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ความร่วมมือในครั้งนี้นับเป็นสัญญาณที่ดี ที่กลุ่มทุนจากจีนเล็งเห็นถึงศักยภาพของตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยและแสดงถึงความเชื่อมั่นที่มีต่อศักยภาพการเติบโตทางธุรกิจของเพซ โดยซิติค คอนสตรัคชั่นถือเป็นหนึ่งในบริษัทก่อสร้างและวิศวกรรมอันดับต้นๆ ของโลก โดยมีความเชี่ยวชาญด้านการก่อสร้างแลนด์มาร์คที่เป็นที่ยอมรับระดับนานาชาติ และยังมีสถาบันการเงินเป็นของตัวเอง คือ ซิติค แบงค์
สำหรับโครงการขนาดใหญ่ที่ก่อสร้างโดยซิติค คอนสตรัคชั่น ได้แก่ สนามกีฬาแห่งชาติปักกิ่งของประเทศจีน (สนามกีฬารังนก) ศูนย์วิจัยและพัฒนาสารสนเทศของธนาคารซิติค ท่าเทียบเรือรอยัล อัลเบิร์ตในประเทศอังกฤษ โครงการทางด่วนตะวันออก-ตะวันตกประเทศอัลจีเรีย และโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนคานิโอต้าในประเทศบราซิล เป็นต้น
"เพซเชื่อมั่นว่าการมีพันธมิตรทางธุรกิจที่แข็งแกร่งอย่างซิติค คอนสตรัคชั่นจะช่วยทำให้เพซสามารถสร้างสรรค์โครงการที่วางแผนไว้ได้เร็วขึ้น ทั้งยังสามารถส่งเสริมเพซในฐานะผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่ได้รับการยอมรับในมาตรฐานระดับโลกได้มากขึ้น และทั้ง 2 ฝ่ายจะได้รับประโยชน์จากการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และความเชี่ยวชาญของกันและกัน เพื่อพัฒนาแลนด์มาร์คแห่งใหม่ของกรุงเทพฯ ในอนาคต" นายสรพจน์กล่าวเสริม
นายเฉิน กัง กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซิติค คอนสตรัคชั่น อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า "ประเทศไทยถือเป็นหนึ่งในประเทศที่น่าลงทุนที่สุดในเอเชีย ด้วยการสนับสนุนจากภาครัฐบาลในการเร่งวางรากฐานทั้งส่วนผังเมืองและสาธารณูปโภคอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อรองรับการขยายตัวอย่างรวดเร็วของกรุงเทพฯเพื่อเป็นเมืองจุดหมายเศรษฐกิจสำคัญในเอเชีย และกรุงเทพฯ เองยังมีการเติบโตของอสังหาริมทรัพย์ในทุกภาคส่วน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเซกเมนท์อสังหาริมทรัพย์ระดับซูเปอร์ลักชัวรี่ซึ่งเป็นตลาดที่เพซมีความเชี่ยวชาญในระดับโลก เราหวังเป็นอย่างยิ่งว่า ความร่วมมือในครั้งนี้จะช่วยต่อยอดความสำเร็จของทั้งสองฝ่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากโครงการใหม่บนที่ดินทำเลทองใจกลางเมือง ซึ่งจะเปิดตัวในเร็วๆ นี้"
ปัจจุบัน เพซ มีโครงการที่พักอาศัยที่อยู่ระหว่างการพัฒนาจำนวน 5 โครงการ ได้แก่ เดอะ ริทซ์-คาร์ลตัน เรสซิเดนเซส บางกอก ณ โครงการมหานคร โครงการมหาสมุทรวิลล่า โครงการนิมิต หลังสวน และ โครงการบนถนนนราธิวาสราชนครินทร์ ซึ่งมีมูลค่าโครงการรวมทั้งหมดประมาณ 3.4 หมื่นล้านบาท รวมมูลค่าแบ็คล็อคทั้งหมด 1.75 หมื่นล้านบาท ซึ่งรับรู้รายได้อย่างต่อเนื่องตั้งแต่ไตรมาสแรกของปี 2560 ที่ผ่านมา