บริษัท พลังงานเพื่อโลกสีเขียว (ประเทศไทย) จำกัด (GEP) มีบริษัทย่อย 1 แห่ง ถือหุ้น 100% คือ บริษัท จีอีพี (เมียนมาร์)จำกัด (GEP-Myanmar) เป็นบริษัทสัญชาติเมียนมาร์ ซึ่งได้เข้าลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (Power Purchase Agreement :PPA) กับ Electric Power Generation Enterprise (EPGE) ซึ่งเป็นองค์กรที่อยู่ภายใต้ Ministry of Electricity and Energy ของเมียนมาร์ โดย EPGE จะรับซื้อไฟฟ้าจากโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ขนาดกำลังการผลิตติดตั้งประมาณ 220 เมกะวัตต์ หรือโครงการมินบูคิดเป็นอัตราการรับซื้อไฟฟ้าสูงสุดที่ 170 เมกะวัตต์ เป็นระยะเวลา 30 ปี นับตั้งแต่วันเริ่มจำหน่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (Commercial Operation Date : COD) ในอัตราการรับซื้อไฟฟ้าคงที่ที่ 0.1275 เหรียญดอลลาร์สหรัฐต่อหน่วยไฟฟ้า ตลอดอายุสัญญาของ PPA โครงการผลิตไฟฟ้าได้แบ่งออกเป็น 4 เฟส มีระยะเวลาห่างกันทุก ๆ 1 ปี รวมกำลังผลิตติดตั้งทั้งสิ้น 220เมกะวัตต์ อัตราการรับซื้อสูงสุด 170 เมกะวัตต์ โดยจะเริ่ม COD เฟส 1 ได้ตั้งแต่ปี 2561 เป็นต้นไป
ทั้งนี้ บริษัท พลังงานเพื่อโลกสีเขียว (ประเทศไทย) จำกัด (GEP) มีบริษัทจดทะเบียนจากประเทศไทยเข้าร่วมถือหุ้นด้วยกันสามบริษัทคือ บริษัท อีซีเอฟ พาวเวอร์ จำกัด (ECF-Power) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ บมจ.อีสต์โคสท์เฟอร์นิเทค หรือ ECF ถือหุ้นร้อยละ 20 บริษัท คิวทีซีโกลบอลพาวเวอร์ จำกัด (QTCGP) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ บมจ.คิวทีซี เอนเนอร์ยี หรือ QTC ถือหุ้นร้อยละ 15และ บมจ.วินเทจ วิศวกรรม ถือหุ้นร้อยละ 12 สำหรับผู้ถือหุ้นที่เหลือคือ Noble Planet Pte. Ltd.(สัญชาติสิงคโปร์) ถือหุ้นร้อยละ 5และ Planet Energy Holdings Pte. Ltd. (สัญชาติสิงคโปร์) ถือหุ้นร้อยละ 48
นายอารักษ์ สุขสวัสดิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อีสต์โคสท์เฟอร์นิเทค จำกัด (มหาชน) (ECF) ในฐานะบริษัทแม่ของECF-Power ซึ่งเข้าถือหุ้นใน GEP ร้อยละ 20 กล่าวว่า บริษัทมีนโยบายขยายการลงทุนสู่ธุรกิจด้านพลังงานทดแทนอย่างต่อเนื่อง ซึ่งหลังจากที่บริษัทเริ่มรับรู้ส่วนแบ่งการลงทุนจากการจำหน่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์สำหรับโรงไฟฟ้าพลังงานชีวมวล 7.5 เมกะวัตต์ ของ บริษัท ไพร์ซ ออฟ วู้ด กรีน เอนเนอร์จี จำกัด (PWGE) จังหวัดนราธิวาส นับตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม ที่ผ่านมาแล้ว ครั้งนี้ยังถือเป็นโอกาสสำคัญที่ได้ขยายธุรกิจการลงทุนสู่โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ซึ่งคาดว่า จะสามารถสร้างส่วนแบ่งกำไรให้กับ ECF ได้อย่างต่อเนื่องและเป็นการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนในระยะยาว ซึ่งโครงการนี้จากการศึกษาข้อมูล ECF จะได้รับอัตราผลตอบแทนจากการลงทุนสำหรับระยะเวลา 30 ปี ไม่ต่ำกว่า 8% และยังถือเป็นโอกาสที่จะช่วยต่อยอดขยายการลงทุนไปสู่ในพลังงานทดแทนอื่น ๆ ที่อาจเกิดขึ้นในประเทศเมียนมาร์ต่อไป
นายพูลพิพัฒน์ ตันธนสิน ประเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท คิวทีซี เอนเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ QTC ผู้ผลิตและจำหน่ายหม้อแปลงไฟฟ้า เปิดเผยว่า บริษัทฯได้มอบหมายให้บริษัท คิวทีซี โกลบอลเพาเวอร์ จำกัด (QTCGP) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่บริษัทฯ ถือหุ้น 99.99% เข้าไปซื้อหุ้นของ GEP Thailand จำนวน 15% คิดเป็นเม็ดเงินมูลค่าประมาณ 267.09 ล้านบาท การลงทุนครั้งนี้เป็นไปตามนโยบายของบริษัทที่ต้องการขยายธุรกิจ เพื่อการเติบโตอย่างมั่นคง และสร้างโอกาสในการลงทุนในประเทศ และต่างประเทศเพิ่มมากขึ้นในอนาคต ซึ่งเป็นโครงการแรกที่คาดว่าจะรับรู้รายได้จากโครงการลงทุนในธุรกิจพลังงานประเภทโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ส่วนโครงการที่ 2 คือการลงทุนในโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ของ L Solar ซึ่งคาดว่าจะสามารถรับรู้รายได้ในไตรมาส 3/60 นี้ หนุนผลงานปี 60 มีผลประกอบการดีขึ้นในอนาคต
นายศุภศิษฏ์ โภคินจารุรัศมิ์ กรรมการและกรรมการบริหาร บริษัท วินเทจ วิศวกรรม จำกัด (มหาชน) (VTE) เปิดเผยว่า สำหรับ VTE นอกจากการเป็นผู้ถือหุ้นในสัดส่วนร้อยละ 12 แล้ว ยังเป็นผู้รับเหมาก่อสร้างและพัฒนาโครงการทั้งหมด ซึ่งจะทำให้ชื่อเสียงของบริษัทเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายในวงกว้างยิ่งขึ้น อันจะเป็นการเปิดประตูแห่งโอกาสทางธุรกิจของ VTE ทั้งส่วนที่เป็นงานรับเหมาก่อสร้างและพลังงานทดแทนให้ขยายตัวต่อไปในอนาคตได้มากกว่าเดิม ซึ่งจะก่อให้เกิดผลดีกับทั้งบริษัทและผู้ถือหุ้นคือนอกเหนือจากสามารถขยายธุรกิจเพื่อให้การเติบโตอย่างมั่นคงแล้ว ยังเป็นการเพิ่มความมั่นคงของรายได้อีกด้วย เพราะจะมีรายได้แบบต่อเนื่อง (Recurring income) จากการจำหน่ายไฟฟ้าเป็นระยะเวลา 30 ปี และเพิ่มมูลค่าให้แก่บริษัทโดยการลงทุนในธุรกิจที่คาดว่าจะมีอัตราการเติบโตของรายได้และกำไรที่มั่นคง