ผู้อัญเชิญตราฝ่ายหญิง "ฝ้าย"นางสาวพัชรพร บัวพันธ์ เล่าว่า ผู้อัญเชิญตราต้องเป็นผู้ที่ประพฤติ ตนที่ดี มีสัมมาคารวะ ไม่ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน เป็นที่ยอมรับในสังคม เป็นผู้นำได้ กล้าแสดงออก กล้าคิด กล้าพูด ทำแต่สิ่งที่ดี ที่สนใจเข้าประกวดเพราะเห็นรุ่นพี่อัญเชิญตรามหาวิทยาลัยแล้วดูสง่างามเป็นเกียรติกับครอบครัวและชีวิตของนักศึกษา จึงตัดสินใจเข้าร่วมประกวดบวกกับตนเองคิดว่ามีคุณสมบัติตรงตามข้อกำหนดที่ทางผู้จัดได้จัดขึ้น มีความสามารถ มีความมั่นใจว่าจะทำอย่างเต็มที่อยากทำตามฝันที่ตั้งไว้ ส่วนตัวเป็นคนชอบทำกิจกรรม "ไม่ได้เก่งเรียนอย่างเดียวค่ะ ต้องเก่งทางด้านกิจกรรมด้วย เพราะกิจกรรมจะทำให้คนเป็นงาน และที่สำคัญต้องเก่งทั้งสองด้านควบคู่กันจะดีที่สุด"โดยตนเองได้รับคัดเลือกแสดง โขนพระราชทาน ตอน พิเภกสวามิภักดิ์ เมื่อปีการศึกษา 2559 ได้ดำรงตำแหน่งอุปนายกคนที่ 2 ของสโมสรนักศึกษาคณะศิลปกรรมศาสตร์ปี ที่ตนเองเลือกเรียนสายเพราะนี้ชอบการรำ อยากเป็นครูสอนนาฏศิลป์ให้กับนักเรียนรุ่นต่อๆไป เพราะนาฏศิลป์เป็นวัฒนธรรมอีกอย่างหนึ่งของไทยที่สวยงาม อยากให้รักษาสิ่งสวยงามแบบนี้ไว้ "ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น" คติพจน์ที่ท่องจำมาตลอด เพราะไม่ว่าจะทำอะไรถ้าไม่พยายามทำให้สำเร็จสิ่งนั่นก็จะไม่สำเร็จตามที่ตั้งไว้ และทุกคนย่อมมีความพยายามเหมือนกันค่ะแต่กันที่มากหรือน้อยแค่นั้นเอง
ทางด้านผู้อัญเชิญฝ่ายชาย "โอ"นายสิงหนาท บุญขวัญ เล่าว่า วันปฐมนิเทศได้เห็นพี่ที่ได้รับการคัดเลือกอัญเชิญตราและในวันนั้นพิธีกรได้บอกที่มาและความสำคัญของตราประจำมหาวิทยาลัย สิ่งนั่นคือสิ่งที่จุดประกายในความคิดให้ตนเองฝันว่าวันหนึ่งต้องเป็นผู้อัญเชิญตราประจำมหาวิทยาลัยให้ได้ เมื่อมีโอกาสและความพร้อมจึงสินใจสมัคร โดยเมื่อปี 2559 ตนเองได้เข้าร่วมการคัดเลือกผู้อัญเชิญตรามหาวิทยาลัยด้วย แต่ไม่ได้ตำแหน่ง ตนเองจึงตัดสินใจเข้าร่วมการคัดเลือกอีกครั้ง ซึ่งได้กลับไปพัฒนาบุคลิกภาพและความมุ่งมั่นตั้งใจ ตนเองเชื่อว่าด้วยความตั้งใจทำให้ตนเองได้รับคัดเลือก "ภูมิใจและเกียรติที่ได้คัดเลือก" จะเป็นแบบอย่างในการใช้ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัย ทำกิจกรรมควบคู่ไปกับการเรียน เลือกเรียนทางด้านนี้ เพราะรักในศิลปวัฒนธรรมไทยและมีความฝันอยากเป็นครู อยากที่จะเผยแพร่และสืบสานวัฒนธรรมไทยให้คงอยู่คู่กับประเทศไทย พ่อแม่เลยสนับสนุนให้เรียนทางด้านนี้มาตั้งแต่เด็กเลยเลือกเรียนทางด้านนาฏศิลป์ต่อในระดับมหาวิทยาลัยเพื่อที่จะไปเป็นครูในอนาคต "โขนสอนทุกอย่างในการดำเนินชีวิตก็ว่าได้ สอนให้เรารักในความเป็นไทย รักในวิชาชีพ รักในนาฏศิลป์ซึ่งเป็นศิลปวัฒนธรรมประจำชาติ สอนให้เรามีความกตัญญูต่อครูบาอาจารย์และพ่อแม่" ค่าของคนอยู่ที่ผลของงาน เพราะผลของงานหรือการกระทำจะออกมาได้ดีหรือไม่ดีนั้นมันอยู่ที่ความพยามยามและความตั้งใจของเราเอง