กรมประมงเดินหน้าขับเคลื่อนโครงการเกษตรอินทรีย์ หวังช่วยฟื้นฟูสิ่งแวดล้อม ควบคู่ไปกับการทำเกษตรตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง ปัจจุบันรัฐบาลได้ให้ความสำคัญต่อภาคการเกษตรของไทย โดยได้สนับสนุนให้เกษตรกรยึดหลัก

อังคาร ๑๘ กรกฎาคม ๒๐๑๗ ๑๗:๒๓
"เกษตรอินทรีย์" มาใช้เป็นแนวทางสำคัญในการทำการเกษตรด้วยวิธีธรรมชาติบนพื้นที่การเกษตรที่ไม่มีสารพิษตกค้างและหลีกเลี่ยงการปนเปื้อนของสารเคมีทั้งทางดิน ทางน้ำ และอากาศ เพื่อเสริมสร้างความอุดมสมบูรณ์ให้กับดินและความหลากหลายทางชีวภาพในระบบนิเวศน์

นายมีศักดิ์ ภักดีคง รองอธิบดีกรมประมง กล่าวว่า ตามที่รัฐบาลได้มีนโยบายให้เกษตรกรใช้หลักเกษตรอินทรีย์ตามแนวเศรษฐกิจพอเพียงมาปรับใช้ในการทำเกษตรเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตเกษตรกรตลอดจนสร้างความปลอดภัยต่อผู้บริโภคให้มีความมั่นใจในการบริโภคผลิตภัณฑ์ประมงแล้วนั้น กรมประมงในฐานะหน่วยงานหลักที่เกี่ยวข้องได้ดำเนินโครงการพัฒนาเกษตรอินทรีย์ในภาคการประมงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2547 โดยมีการนำร่องพื้นที่เกษตรอินทรีย์ที่จังหวัดสุรินทร์เป็นที่แรก ต่อมาในปี 2559 กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้มีแผนขับเคลื่อนเกษตรอินทรีย์ และกำหนดให้เป็น 1 ใน 6 โครงการตามนโยบายกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ให้เกิดผลเป็นรูปธรรม โดยมีเป้าหมายในการขยายพื้นที่เกษตรอินทรีย์ทั้งประเทศให้เพิ่มขึ้นไม่น้อยกว่าร้อยละ 10% พร้อมนำร่องจังหวัดยโสธรเป็นเมืองเกษตรอินทรีย์เพิ่มเติม สำหรับในปี 2560 กรมประมงได้ตั้งเป้าหมายพัฒนาฟาร์มเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำอินทรีย์ทั้งสัตว์น้ำจืดและสัตว์น้ำชายฝั่ง เพื่อผลักดันให้สินค้าเกษตรเหล่านี้สามารถเข้าสู่ระบบมาตรฐานอินทรีย์ซึ่งเป็นมาตรฐานที่อยู่ในระดับสากลและเป็นที่ยอมรับของตลาดโลก สำหรับผลการดำเนินการโครงการพัฒนาการเกษตรอินทรีย์ในรอบ 6 เดือน ระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม 2559 – วันที่ 15 เมษายน 2560 กรมประมงได้มีความก้าวหน้าในการดำเนินงานตามเป้าหมายดังนี้

1.จัดฝึกอบรมหลักสูตร "การเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำตามมาตรฐานเกษตรอินทรีย์"ให้กับเกษตรกรจำนวน 5 รุ่น ซึ่งเป็นเกษตรกรจาก 8 จังหวัด ได้แก่ จ.สุรินทร์ จ.ยโสธร จ.เชียงใหม่ จ.สมุทรปราการ จ.ตราด จ.นครศรีธรรมราชจ.พัทลุง และจ.ยะลา รวม 250 ราย (ดำเนินการเรียบร้อยแล้ว) สำหรับหลักสูตรดังกล่าวจะเป็นการให้ข้อมูลความรู้แก่ผู้เข้าอบรมในเรื่องสถานการณ์และทิศทางของสินค้าเกษตรอินทรีย์ , มาตรฐานเกษตรอินทรีย์ , รูปแบบและวิธีการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำอินทรีย์รวมถึงเนื้อหาที่เกี่ยวข้อง ขณะนี้ก็มีเกษตรกรผู้ผ่านการอบรมแล้วจากโครงการฝึกอบรมดังกล่าว และยื่นขอรับการตรวจรับรองมาตรฐานเกษตรอินทรีย์จำนวน 57 ราย ซึ่งจากผลการดำเนินงานในรอบ 6 เดือนที่ผ่านมามีเกษตรกรหรือฟาร์มที่ผ่านมาตรฐาน เกษตรอินทรีย์เล่ม 1 : การผลิต แปรรูป แสดงฉลากและจำหน่ายผลผลิต และผลิตภัณฑ์เกษตรอินทรีย์ (มกษ.9000 เล่ม 1-2552) จำนวน 36 ราย

2.การมอบปัจจัยการผลิตเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการจะรับเป็นพันธุ์ปลากินพืชและอาหาร(รำข้าว)โดยจะรับมอบกันในช่วงเดือนมิถุนายน - สิงหาคม เนื่องจากจะอยู่ในช่วงฤดูฝน ซึ่งจะเป็นฤดูที่มีน้ำในปริมาณน้ำเอื้อต่อการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ

3.การสร้างจุดเรียนรู้ด้านการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำอินทรีย์ในปี 2559 กรมประมงได้ตั้งเป้าหมายสร้างจุดเรียนรู้จำนวน 5 แห่งปัจจุบันดำเนินการเรียบร้อยแล้วใน จ. สุรินทร์ จ. ยโสธร จ. กาฬสินธุ์ จ. ร้อยเอ็ด และจ. มหาสารคาม โดยกรมประมงยังคงพัฒนาจุดสาธิตทั้ง 5 แห่งนี้มาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ผลการดำเนินโครงการพัฒนาเกษตรอินทรีย์ในรอบ 6 เดือนที่ผ่านมา จ. ยโสธร กลายเป็นจังหวัดนำร่องเกษตรอินทรีย์ขึ้นอีกหนึ่งจังหวัด สำหรับในปี 2560กรมประมงได้คัดเลือกเกษตรกรที่มีความสามารถตามหลักเกณฑ์การประเมินของมาตรฐานเกษตรอินทรีย์เพิ่มขึ้นอีก8 ราย เพื่อจัดตั้งเป็นจุดสาธิตใหม่ ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างขั้นตอนการยื่นขอรับการตรวจรับรองมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ คาดว่าจะดำเนินการแล้วเสร็จภายในปี 2561

4. จากการส่งเสริมเกษตรกรในโครงการพัฒนาเกษตรอินทรีย์ ที่ผ่านมาล่าสุดกรมประมงได้จัดกิจกรรม Matching ระหว่างผู้ผลิตสินค้าเกษตรอินทรีย์กับผู้ส่งออกสินค้าเกษตรอินทรีย์ขึ้น เพื่อขยายกลุ่มตลาดให้เกษตรกรที่ผ่านการรับรองมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ เล่ม1 : การผลิต แปรรูป แสดงฉลากและจำหน่ายผลผลิต และผลิตภัณฑ์เกษตรอินทรีย์ ได้แก่ บริษัท จุลไหมไทย จำกัด กับ บริษัท มารีนเนอร์ กรุ๊ป จำกัด และกลุ่มเกษตรกรแปลงใหญ่ปลาตะเพียน อ.คำเขื่อนแก้ว จ.ยโสธร กับ หจก. ยโสธร กรีนเนส

รองอธิบดีกรมประมงกล่าวตอนท้ายว่า การทำเกษตรอินทรีย์อาจจะพบปัญหาและอุปสรรคอยู่บ้างเนื่องจากทุกขั้นตอนจะต้องไม่มีการใช้สารเคมีรวมถึงกระบวนการผลิตทุกขั้นตอนจะต้องเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและสามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ แต่เชื่อมั่นว่าโครงการเกษตรอินทรีย์จะสามารถช่วยพัฒนาคุณภาพและสร้างจุดแข็งให้สินค้าประมงของไทยสามารถแข่งขันในตลาดโลกได้ในยุคสมัยที่ผู้บริโภคหันมาให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมมากขึ้น

ข่าวประชาสัมพันธ์ล่าสุด

๐๙:๕๕ ดร.เอ้ สุดยอดผู้นำด้าน AI เชื่อมั่น รพ.พระจอมเกล้าเจ้าคุณทหาร จะปฏิวัติการแพทย์ไทย ด้วย AI พร้อมความตั้งใจอันแน่วแน่
๐๙:๐๓ รมว.นฤมล ผลักดันกฎระเบียบว่าด้วยสินค้าที่ปลอดจากการตัดไม้ทำลายป่าของสหภาพยุโรป (EUDR)
๐๙:๑๖ เอ็ม บี เค เซ็นเตอร์ ร่วมกับ สภากาชาดไทย ชวนร่วมบริจาคโลหิต 26 ธันวาคมนี้ ชั้น 7 โซน A เพิ่มโลหิต เพิ่มชีวิต
๐๙:๔๗ มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง จัดเต็ม!! ลงพื้นที่เร่งลดความเหลื่อมล้ำ สร้างโอกาส สร้างชีวิตแก่ชาวหนองคายอย่างยั่งยืน
๐๙:๕๕ มูลนิธิอายิโนะโมะโต๊ะ ส่งมอบอาคารโรงอาหารอายิโนะโมะโต๊ะ ให้แก่ โรงเรียนบ้านดอนมะกอก จังหวัดสุราษฎร์ธานี
๐๙:๐๕ กทม. เข้มงวดโครงการก่อสร้างคอนโดฯ ในซอยสุขุมวิท 93 ปฏิบัติตามมาตรการ EIA
๐๙:๕๐ การเคหะแห่งชาติตั้งเป้าสร้างที่อยู่อาศัยรองรับสังคมผู้สูงอายุ
๐๙:๒๘ ทำอย่างไรจึงจะทำให้มีการใช้ generative AI มากขึ้น
๐๙:๔๐ NocNoc จับมือ กฟผ. ส่งความสุขปีใหม่ให้คนรักบ้าน มอบส่วนลดสินค้าประหยัดไฟเบอร์ 5 สูงสุด 500 บาท เมื่อช้อปผ่าน NocNoc Chat Shop ทัก-ช้อป-ลด เริ่ม 25 ธ.ค. 67
๐๙:๑๔ Warrior ตั้ม ศุภกิตติ์ หรือ ตั้ม โทมัส ทอม จากทีมมาสเตอร์ ดร.อั้ม อธิชาติ คว้าชัย The Social Warrior คนแรกของประเทศไทย