ด้านผลการดำเนินงานของกองทุนหุ้นที่มีการจ่ายปันผลในครั้งนี้ นางสาวธิดาศิริกล่าวว่า กองทุน K-VALUE นับตั้งแต่จัดตั้งกองทุนมีการจ่ายเงินปันผลแล้วทั้งสิ้น 22 ครั้ง รวมเป็นอัตรา 9.57 บาทต่อหน่วย โดยกองทุนมีอัตราการจ่ายปันผลประมาณ 17.2% ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา ส่วนผลการดำเนินงานย้อนหลัง 6 เดือนอยู่ที่ 4.17% เมื่อเทียบกับเกณฑ์มาตรฐานอยู่ที่ 1.93% (ข้อมูล ณ วันที่ 31 ก.ค.60) ทั้งนี้ที่ผ่านมากองทุนเน้นการลงทุนในหุ้นที่มีแนวโน้มจ่ายปันผลสม่ำเสมอในอัตราที่น่าสนใจ และราคาหุ้นยังต่ำกว่ามูลค่าทางปัจจัยพื้นฐาน ที่เป็นหุ้นที่ได้รับประโยชน์จากแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในครึ่งปีหลัง
ด้านกองทุน RKF2 นับตั้งแต่จัดตั้งกองทุน มีการจ่ายเงินปันผลแล้วทั้งสิ้น 26 ครั้ง รวมเป็นอัตรา 19.84 บาทต่อหน่วย โดยกองทุนมีอัตราการจ่ายปันผลประมาณ 5.3% ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา สำหรับผลการดำเนินงานย้อนหลัง 6 เดือนอยู่ที่ 3.87% เมื่อเทียบกับเกณฑ์มาตรฐานอยู่ที่ 1.93% (ข้อมูล ณ วันที่ 31 ก.ค.60) และกองทุน RKF4 นับตั้งแต่จัดตั้งกองทุน มีการจ่ายเงินปันผลแล้วทั้งสิ้น 21 ครั้ง รวมเป็นอัตรา 9.07 บาทต่อหน่วย โดยกองทุนมีอัตราการจ่ายปันผลประมาณ 6.8%ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา และมีผลการดำเนินงานย้อนหลัง 6 เดือนอยู่ที่ 1.56% เมื่อเทียบกับเกณฑ์มาตรฐานอยู่ที่ 1.93% (ข้อมูล ณ วันที่ 31 ก.ค.60) สำหรับกลยุทธ์การลงทุนของกองทุน RKF2 และกองทุน RKF4 เน้นเลือกลงทุนในหุ้นที่ปัจจัยพื้นฐานดี และได้รับประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ รวมทั้งเป็นหุ้นกลุ่มที่แนวโน้มผลการดำเนินงานแข็งแกร่งในปี 2560
สำหรับมุมมองด้านการลงทุนและเศรษฐกิจภายในประเทศ นางสาวธิดาศิริกล่าวว่า "โดยรวมยังคงเห็นภาพการฟื้นตัวของเศรษฐกิจภายในประเทศได้อย่างต่อเนื่อง ถึงแม้ว่ายังคงมีการเติบโตอยู่ในระดับต่ำ โดยคาดว่าน่าจะเห็นการเติบโตของ GDP ได้ในระดับ 3.5-4% ใน 1-2 ปีข้างหน้า จากปัจจัยสนับสนุนที่สำคัญจากการอนุมัติโครงการลงทุนภาครัฐซึ่งทยอยอนุมัติโครงการมาแล้วตั้งแต่ปีที่แล้วต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน คาดว่าจะเริ่มเห็นเม็ดเงินลงทุนเข้ามา
ในระบบเพิ่มขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ สำหรับตลาดหุ้นไทยที่ระดับดัชนี 1570 จุด มีการซื้อขายที่ PE 15.4X ในปีนี้ และ PE 13.9X ในปีหน้า ที่อยู่ในระดับใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปี ที่ระดับ 13.7X ซึ่งไม่ถือว่าแพงเกินไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาวะที่อัตราดอกเบี้ยที่คาดว่ายังอยู่ในระดับต่ำ โดย บลจ.กสิกรไทย ยังคงเป้าหมายคาดการณ์ดัชนีหุ้นไทยปลายปีอยู่ที่ระดับ 1650 จุด และยังมีมุมมองเป็นบวกต่อภาพการลงทุนต่อเนื่องในปีหน้า ด้านปัจจัยที่จะส่งผลต่อความผันผวนที่ผู้ลงทุนต้องจับตามอง น่าจะเป็นเรื่องของผลกระทบจากอุทกภัยทางภาคอีสานที่เกิดขึ้น ซึ่งอาจส่งผลต่อความเชื่อมั่นภายในประเทศแต่เป็นเพียงระยะสั้น ผลกระทบจากมาตรการควบคุมการปล่อยสินเชื่อบัตรเครดิตและสินเชื่อบุคคลที่จะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 กันยายน 2560 นี้ รวมถึงท่าทีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางขนาดใหญ่ทั่วโลก ซึ่งอาจมีผลกระทบต่อเนื่องถึง Fund Flow
สำหรับผู้ที่สนใจลงทุนในกองทุน K-VALUE กองทุน RKF2 และกองทุน RKF4 สามารถติดต่อขอรับหนังสือชี้ชวนและสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ธนาคารกสิกรไทยทุกสาขา หรือติดต่อ KAsset Contact Center 02673 3888
กองทุน รอบผลการดำเนินงาน อัตราเงินปันผล (บาท/หน่วย)
K-VALUE 1 กุมภาพันธ์ 2560 - 31 กรกฎาคม 2560 0.27
RKF2 1 สิงหาคม 2559 - 31 กรกฎาคม 2560 0.67
RKF4 1 สิงหาคม 2559 - 31 กรกฎาคม 2560 0.18
*คิดจาก NAV วันที่ 31 กรกฎาคม 2560
ผู้ลงทุนโปรดทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงได้ที่ www.kasikornasset.com หรือ บลจ.กสิกรไทย หรือธนาคารกสิกรไทยทุกสาขา หรือขอข้อมูลดังกล่าวจากบุคคลที่เสนอขายหน่วยลงทุนก่อนตัดสินใจลงทุนผลการดำเนินงานในอดีตของกองทุนรวม มิได้ยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต