นายสุพจน์ วรรณา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจเอเอส แอสเซ็ท จำกัด (มหาชน) หรือ J เปิดเผยถึง ผลการดำเนินงานของบริษัทฯ และบริษัทย่อยงวดไตรมาส 2/2560 (สิ้นสุด ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2560) มีรายได้รวมอยู่ที่ 179.1 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 30.7% จากงวดเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 137.1 ล้านบาท เป็นผลจากการรับรู้รายศูนย์การค้าแห่งใหม่ล่าสุดในโครงการ Jas Urban ศรีนครินทร์เพิ่มเติมเข้ามา ซึ่งปัจจุบันมีอัตราการเช่าพื้นที่เต็ม 100% ในส่วนของธุรกิจบริหารพื้นที่เช่าค้าปลีกศูนย์มือถือครบวงจรภายใต้ชื่อ IT Junction ได้รับการตอบรับที่ดี จากกิจกรรมส่งเสริมการตลาด โดยร่วมมือกับพันธมิตรแบรนด์มือถือและผู้ให้บริการชั้นนำต่างๆ จัดแคมเปญใหญ่เมื่อต้นปีที่ผ่านมา เพื่อสร้างการรับรู้ในแบรนด์ให้เข้มแข็ง กระตุ้นการใช้บริการในศูนย์ IT Junction ให้เพิ่มขึ้น
สำหรับกำไรสุทธิในงวดไตรมาส 2/2560 อยู่ที่ 6.09 ล้านบาท ลดลง 12.3% จากงวดเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 6.94 ล้านบาท และพลิกเป็นกำไรเมื่อเทียบกับไตรมาส 1/2560 ที่มีผลขาดทุนสุทธิอยู่ที่ 4.02 ล้านบาท โดยสาเหตุหลักมาจากการรับรู้รายได้ที่เพิ่มขึ้นในโครงการศูนย์การค้าใหม่ของบริษัทฯ ด้านผลการดำเนินงานของบริษัทฯ และบริษัทย่อยงวด 6 เดือนแรกของปีนี้ มีรายได้รวมอยู่ที่ 357.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อน 28.90% กำไรสุทธิอยู่ที่ 2.07 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม เพื่อเพิ่มความหลากหลายและครองความเป็นนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่ครบวงจร บริษัทฯ ได้ขยายไปสู่ธุรกิจร้านอาหารและคาเฟ่ ใช้งบลงทุน 42 ล้านบาท ซื้อแบรนด์ คาซ่า ลาแปง (Casa Lapin) เข้ามาบริหาร ต่อยอดธุรกิจค้าปลีก รุกขยายในศูนย์การค้าของบริษัทเอง และศูนย์การค้าอื่นๆ ในทำเลที่มีศักยภาพ จัดตั้งบริษัทย่อย บริษัท บีนส์ แอนด์ บราวน์ จำกัด เพื่อรับโอนกิจการที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจร้านอาหารและกาแฟทั้งหมด และเป็นการร่วมทุนระหว่าง เจเอเอส แอสเซ็ท กับ บริษัท คอฟฟี่ โปรเจ็ค จำกัด ในสัดส่วน J ถือหุ้น 60% เชื่อว่า การร่วมมือครั้งนี้จะสร้างโอกาสทางธุรกิจให้กับบริษัทฯ ในอนาคต
นอกจากนี้ ในช่วงครึ่งปีหลังบริษัทฯ มีแผนรีโนเวทศูนย์การค้าชุมชนของบริษัทฯ ทั้ง 2 แห่ง ที่ The Jas รามอินทรา และ The Jas วังหิน โดยต่อยอด URBAN Foodville ศูนย์อาหารติดแอร์ ครบเครื่อง เรื่องอร่อย เป็นอีกไฮไลท์เข้ามาดึงดูดความน่าสนใจ เชื่อว่าจะทำให้มีปริมาณการใช้บริการของลูกค้าเพิ่มมากขึ้น กำหนดเปิดในช่วงไตรมาส 3/2560 นี้
อีกทั้ง บริษัทฯ มีแผนเปิดตัวคอนโดมิเนียม Low-Rise โครงการแรกในชื่อ NEWERA (นีเวร่า) ย่านถนนประดิษมนูธรรม มูลค่าโครงการกว่า 500 ล้านบาท เตรียมเปิดพรีเซลในช่วงปลายไตรมาส 3 ปีนี้ และเริ่มโอนโครงการไตรมาส 1 ปี 2561 คาดว่าจะได้รับการตอบรับจากลูกค้าเข้ามาจองอย่างคึกคัก เนื่องจาก อยู่ในทำเลที่ดี ติดถนนเอกมัย- รามอินทรา และครบครันด้วยศูนย์การค้าและสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย สนับสนุนเป้าหมายรายได้ปี 2560 วางไว้เติบโต 30% จากปีก่อนมีรายได้อยู่ที่ 562 ล้านบาท และรับรู้รายได้อย่างต่อเนื่องในระยะยาว
"รายได้จากพื้นที่เช่า IT Junction ศูนย์การค้ามือถือครบวงจรซึ่งเป็นธุรกิจเดิมที่บริษัทฯ มีความเชี่ยวชาญ ยังมีการเติบโตที่ดีต่อเนื่อง และการรุกเข้าไปธุรกิจศูนย์การค้าชุมชน ภายใต้แบรนด์ JAS ในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งปัจจุบันมีจำนวนทั้งสิ้น 3 โครงการ ก็ได้รับการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี โดยเฉพาะโครงการ Jas Urban ศรีนครินทร์ ซึ่งเป็นโครงการล่าสุดเปิดตัวไปเมื่อปลายปี 2559 ประสบความสำเร็จ เชื่อว่าเป็นผลจากความเชี่ยวชาญในธุรกิจบริหารพื้นที่ มีการปรับพื้นที่บางส่วนมาพัฒนาเป็น TOTEM KINGDOM สวนสนุกในร่มแนวคิดใหม่ และเพิ่มแหล่งอำนวยความสะดวกต่างๆ มากมาย ทำให้ปัจจุบันมีอัตราพื้นที่เช่าเต็มทั้ง 100% ในโครงการดังกล่าว ต่อจากนี้ เรายังมองเห็นโอกาสทั้งการเติบโตจากธุรกิจเดิม และต่อยอดในธุรกิจใหม่ๆ ตอกย้ำการเป็นนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่มีความหลากหลาย บนพื้นฐานการลงทุนต่างๆ อย่างรอบคอบ เพื่อผลตอบแทนสูงสุดแก่ท่านผู้ถือหุ้น ชูจุดแข็งการเป็นบริษัทในเครือเจมาร์ท กรุ๊ป มั่นใจ J จะเติบโตอย่างต่อเนื่องในระยะยาว" นายสุพจน์ กล่าว