นางสาวรุ่งฉัตร บุญรัตน์ ประธานผู้บริหารฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท มาลีกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ MALEE เปิดเผยผลการดำเนินงานสำหรับไตรมาส 2/2560 ว่า "ในไตรมาส 2/2560 บริษัทฯ และบริษัทย่อยมียอดขายรวม 1,370 ล้านบาท ลดลง 21% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน จาก 2 ปัจจัยหลัก ได้แก่ 1) ยอดขายที่ลดลงในประเทศของธุรกิจแบรนด์ เนื่องจากการชะลอตัวของการใช้จ่ายในประเทศ ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกันกับตลาดน้ำผลไม้โดยรวม (Nielsen: หดตัว 9.4%) รวมถึงการลดสต็อคสินค้าหน้าร้านเพื่อรองรับการเปลี่ยนบรรจุภัณฑ์ใหม่ที่จะเปิดตัวในช่วงไตรมาสที่ 3 และการขาดแคลนวัตถุดิบในการผลิตผลไม้กระป๋องเนื่องจากผลิตผลทางการเกษตรไม่เป็นไปตามฤดูกาลผลิต และ 2) ยอดขายของธุรกิจพัฒนาผลิตภัณฑ์ตามสัญญาและรับจ้างผลิต (Contract Manufacturing Business: CMG) เนื่องจากบริษัทฯ ได้เพิ่มมาตรการเชิงป้องกัน (Preventive Measure) ในการควบคุมการตรวจสอบคุณภาพน้ำมะพร้าวตลอด Supply Chain เพื่อความมั่นใจได้ว่าผลิตภัณฑ์น้ำมะพร้าวที่บริษัทฯ ผลิตจะไม่มีปัญหาด้านคุณภาพในอนาคต รวมถึงความสามารถในการตรวจสอบย้อนกลับเส้นทางของผลิตภัณฑ์ได้ (Traceability) โดยบริษัทฯ กำลังเร่งดำเนินการพัฒนาการทำงานร่วมกับแหล่งน้ำมะพร้าวต่างๆ เพื่อให้มีปริมาณน้ำมะพร้าวผ่านการตรวจสอบคุณภาพเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งคาดว่าจะดำเนินการแล้วเสร็จภายในปี 2560 นี้ และคาดว่าเหตุการณ์น้ำมะพร้าวจะกลับมาเป็นปกติได้ในปีหน้า"
"อย่างไรก็ตาม ยอดขายต่างประเทศของธุรกิจแบรนด์ ในไตรมาส 2/2560 ยังเติบโตอย่างแข็งแกร่งตามกลยุทธ์ของบริษัทฯ โดยเติบโตประมาณ 20% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นผลมาจากการร่วมทำงานอย่างใกล้ชิดกับผู้จัดจำหน่าย (Distributor) และพันธมิตรในแต่ละประเทศ ในการวางแผนร่วมกันเพื่อเลือกสรรผลิตภัณฑ์และดำเนินกลยุทธ์ทางการตลาดด้วยการกระจายรายได้จากหลากหลายสินค้าและลูกค้าได้อย่างเหมาะสม โดยเฉพาะกลุ่มประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ในอาเซียน รวมถึงประเทศจีน ซึ่งเป็นตลาดหลักที่บริษัทฯ ให้ความสำคัญ"
"นอกจากนี้ บริษัทฯ และบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิ 61 ล้านบาท ลดลง 57% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากต้นทุนต่อหน่วยเพิ่มขึ้นจากการใช้กำลังการผลิตที่ลดลง ค่าเสื่อมราคาเพิ่มขึ้นจากการลงทุนเพิ่มเติมในเครื่องจักร เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตและการลดต้นทุนการผลิต รวมถึงเพื่อรองรับการผลิตที่เพิ่มขึ้นในอนาคต ธุรกิจแบรนด์ในประเทศซึ่งเป็นกลุ่มที่มีกำไรขั้นต้นสูงมีสัดส่วนการขายลดลง การทำกิจกรรมทางการตลาดเพื่อเตรียมความพร้อมในการเปลี่ยนแปลงบรรจุภัณฑ์ใหม่ในไตรมาส 3 ค่าใช้จ่ายในการบริหารที่เพิ่มขึ้นเพื่อการเตรียมความพร้อมด้านบุคลากร ซึ่งที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมสำหรับการเติบโตแบบก้าวกระโดดขององค์กรในอนาคต"
"บริษัทฯ คาดว่า ยอดขายในปี 2560 ทั้งปี จะสามารถเติบโตได้ประมาณร้อยละ 5 โดยการเติบโตในครึ่งปีหลังจะมาจาก 1) การฟื้นตัวของยอดขายในประเทศของธุรกิจแบรนด์ จากการกระตุ้นยอดขายตามแผนการตลาด รวมทั้งการเปิดตัวบรรจุภัณฑ์ใหม่ "น้ำผลไม้ 100%" ในช่วงไตรมาสที่ 3 ซึ่งเป็นกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่มีสัดส่วนยอดขายสูงที่สุดของมาลี และแผนการเปิดตัวผลิตภัณฑ์กลุ่มใหม่ ที่จะช่วยขยายฐานลูกค้ากลุ่มใหม่ๆ ได้มากยิ่งขึ้น 2) การเติบโตอย่างต่อเนื่องของยอดขายต่างประเทศของธุรกิจแบรนด์ โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ในอาเซียน รวมถึงประเทศจีน 3) การเติบโตของยอดขายธุรกิจพัฒนาผลิตภัณฑ์ตามสัญญาและรับจ้างผลิต (CMG) จากสินค้าใหม่และลูกค้ารายใหม่ ตามกลยุทธ์การกระจายความเสี่ยงของบริษัทฯ ทั้งการเพิ่มความหลากหลายของสินค้าและลูกค้า และ 4) เครื่องจักรใหม่ที่มีเทคโนโลยีดีที่สุดในโลก ที่พร้อมเดินการผลิตในไตรมาสที่ 4 ซึ่งมีศักยภาพในการผลิตสินค้าได้หลากหลายขึ้น มีประสิทธิภาพการผลิตดีขึ้น และช่วยลดต้นทุนการผลิตสินค้า ซึ่งจะมีส่วนสำคัญในการเพิ่มโอกาสในการหาลูกค้ารายใหม่หรือสินค้าใหม่เพิ่มเติมจากปัจจุบัน รวมถึงจะช่วยเพิ่มรายได้ ผลกำไร และอัตราการทำกำไรของบริษัทฯ ตามอัตราการใช้กำลังการผลิตที่สูงขึ้น"
"ทั้งนี้ คณะกรรมการบริษัทได้มีมติอนุมัติให้จ่ายเงินปันผลระหว่างกาลจากผลการดำเนินงานงวดครึ่งปีแรกของปี 2560 ในอัตราหุ้นละ 0.30 บาท คิดเป็นร้อยละ 46.7 ของกำไรสุทธิตามงบการเงินรวม โดยกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 8 กันยายน 2560 นอกจากนี้ ยังได้อนุมัติโครงการซื้อหุ้นคืนเพื่อบริหารทางการเงิน โดยมีวงเงินสูงสุดที่จะใช้ในการซื้อหุ้นคืนไม่เกิน 500 ล้านบาท จำนวนหุ้นที่จะซื้อคืนไม่เกิน 15 ล้านหุ้น คิดเป็นไม่เกินร้อยละ 5.36 ของหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมดจำนวน 280 ล้านหุ้น กำหนดเวลาการซื้อหุ้นคืนภายในระยะเวลา 6 เดือน นับตั้งแต่วันที่ 25 สิงหาคม 2560 ถึง 23 กุมภาพันธ์ 2561 โดยวัตถุประสงค์ของการซื้อหุ้นคืนของบริษัทฯ ในครั้งนี้ เพื่อเป็นการบริหารสภาพคล่องส่วนเกินของบริษัทฯ ให้เกิดประโยชน์สูงสุด รวมถึงเพื่อเพิ่มอัตราผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (ROE) และเพิ่มอัตรากำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS)"
"แม้ผลประกอบการไตรมาสที่ 2/2560 ของบริษัทฯ และบริษัทย่อยจะลดลง แต่ส่งผลกระทบในระยะสั้นเท่านั้น โดยบริษัทมุ่งขับเคลื่อนธุรกิจของมาลีกรุ๊ปให้มีความมั่นคงและยั่งยืน ตามนโยบายประเทศไทย 4.0 ของภาครัฐ ด้วยกลยุทธ์ '4R: รีแบรนด์-รีออกาไนซ์-รีโนเวท-รีคอนเนค' เพื่อก้าวสู่การเป็น 'ผู้ผลิตอาหารและเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพระดับโลก' ภายในปี 2564 ด้วยการเสริมความแข็งแกร่ง เพิ่มขีดความสามารถ และพัฒนาประสิทธิภาพรอบด้านให้พร้อมรองรับการก้าวสู่การแข่งขันระดับโลก ครอบคลุมการพัฒนาทรัพยากรบุคคล กระบวนการผลิต การวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ รวมถึงการสร้างความได้เปรียบในการดำเนินธุรกิจกับพันธมิตรทางธุรกิจ โดยมีเป้าหมายในการสร้างการเติบโตแบบก้าวกระโดดและผลกำไรอย่างยั่งยืนให้กับบริษัทในอนาคต และเชื่อมั่นว่าผลการดำเนินงานในอนาคตจะกลับมาโชว์ฟอร์มโดดเด่นเหมือนเดิม" นางสาวรุ่งฉัตรกล่าวสรุป