นายพงษ์พันธ์ สัมภวคุปต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอเพ็กซ์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) (APX) เปิดเผยถึงผลการประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นครั้งที่ 1/2560 ว่า มีมติอนุมัติให้ลดทุนจดทะเบียนของบริษัทฯ จากทุนจดทะเบียนเดิมจำนวน 2,999,850,000 บาท เป็นทุนจดทะเบียนใหม่ 1,499,925,000 บาท โดยการลดมูลค่าหุ้นที่ตราไว้ (พาร์) จาก 1.00 บาท เป็นหุ้นละ 0.50 บาท เพื่อนำส่วนที่ได้จากการลดทุนทั้งหมดไปหักกลบส่วนต่ำกว่ามูลค่าหุ้น และล้างขาดทุนสะสมของบริษัทฯ ซึ่งจะเป็นผลให้ทุนจดทะเบียนของบริษัทลดลงจาก 2,999,850,000 บาท เป็น 1,499,925,000 บาท ในจำนวนหุ้นคงเดิม 2,999,850,000 หุ้น
พร้อมกันนี้ได้อนุมัติให้เพิ่มทุนจดทะเบียนของบริษัทจำนวน 749,962,500 บาท ภายหลังจากที่บริษัทลดทุนจดทะเบียนเป็น 1,499,925,000 บาท แล้ว เป็นทุนจดทะเบียนใหม่ 2,249,887,500 บาท โดยการออกหุ้นสามัญจำนวน 1,499,925,000 หุ้น มูลค่าหุ้นละ 0.50 บาท เพื่อนำเงินไปขยายโครงการของบริษัทฯ โดยจะแบ่งออกเป็นสองส่วนคือจำนวน 999,950,000 หุ้นให้จัดขายให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิม (RO) ในสัดส่วน 3 หุ้นเดิมต่อ 1 หุ้นสามัญเพิ่มทุนใหม่ และอีกจำนวน 499,975,000 หุ้นเพื่อ รองรับการออกและจัดสรรใบสำคัญแสดงสิทธิ์ (Warrant)ที่จะซื้อหุ้นสามัญของบริษัท (APX-W1) ให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมของบริษัทฯ ที่ได้จองซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุน (RO) โดยไม่คิดมูลค่า ในอัตราส่วน 2 หุ้นสามัญเพิ่มทุนใหม่ (RO)ต่อ 1 วอร์แรนต์ โดยใบสำคัญสิทธิมีอายุ 3 ปี อัตราส่วนการใช้สิทธิ 1 ต่อ 1 กำหนดราคาใช้สิทธิหุ้นละ 1 บาท กำหนดใช้สิทธิ ณ วันทำการสุดท้ายของเดือนมิถุนายน และเดือนธันวาคมของทุกปี
"ผู้ถือหุ้นเอเพ็กซ์ฯ ไม่ต้องกังวลต่อการลดทุนโดยการลดพาร์ เพราะไม่ได้ลดจำนวนหุ้นลง ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อล้างขาดทุนสะสม โดยผู้ถือหุ้นยังคงซื้อขายหุ้น APX ในกระดานได้ตามปกติ ส่วนการเพิ่มทุนก็เป็นการเตรียมความพร้อมทางด้านเงินทุน ซึ่งจะทำให้บริษัทมีเงินทุนหมนุเวียนเพียงพอในการขยายโครงการตามเป้าหมาย ดังนั้นเชื่อมั่นว่าแผนดำเนินงานปัจจุบัน และโครงการที่ดีหลายๆโครงการของบริษัทฯจะนำมาซึ่งความสำเร็จที่มั่นคง และสร้างผลตอบแทนที่ดีให้แก่ผู้ถือหุ้น และลูกค้าโดยรวมของเอเพ็กซ์"นายพงษ์พันธ์กล่าวในที่สุด
อย่างไรก็ตามบริษัทฯ จะนำเงินที่ได้ไปลงทุนตามแผนธุรกิจที่วางไว้ ซึ่งแผนพัฒนาโครงการอสังหาฯ ในช่วง 3 ปีข้างหน้า (ปี 2560 – 2562) เอเพ็กซ์ฯ จะพัฒนาโครงการไปในทำเลที่ตั้งอยู่ในแหล่งท่องเที่ยวในประเทศไทย อาทิ กรุงเทพฯ ภูเก็ต และพัทยา รวมทั้งสิ้น 9 โครงการ คิดเป็นมูลค่าประมาณ 13,830 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตราการเติบโต 394% ประกอบด้วยโรงแรม เรสซิเด้นซ์ และศูนย์การค้า โดยมั่นใจว่าจะสามารถรับรู้รายได้จากผลประกอบการทั้งหมดภายใน 3 ปีโดยประมาณ ซึ่งจะสร้างความมั่นคง และผลตอบแทนที่ดีให้แก่ผู้ถือหุ้น
สำหรับแผนพัฒนาโครงการในปี 2560 มีทั้งสิ้น 5 โครงการ คิดเป็นมูลค่าประมาณ 8,580 ล้านบาท ได้แก่ 1)โรงแรม Sheraton Phuket Grand Bay Resort จำนวน 183 ห้องพัก 2) อาคารชุด The Residences at Sheraton Grand Bay จำนวน 101 วิลล่า 3) โรงแรม Four Points by Sheraton Pattaya 306 ห้องพัก 4) โรงแรมในเครือ Accor Phuket Mai Kao Beach Resort จำนวน 150 ห้องพัก และ 5) อาคารชุด The Residences at Mai Kao Beach Resort จำนวน 96 วิลล่า
ส่วนปี 2561 มีแผนพัฒนาเพิ่มอีก 4 โครงการ คิดเป็นมูลค่าประมาณ 5,250 ล้านบาท คือ 1) โครงการโรงแรมในเครือ Marriott จำนวน 210 ห้องพักที่ริมหาดป่าตอง 2 ) ศูนย์การค้าหรู Andaman Plaza ริมหาดป่าตอง 3) โครงการคอนโดเทล Jomtien Beach Residences พัทยา, จำนวน 347 ห้องชุด 4) โครงการคอนโดเทล จำนวนประมาณ 350 ห้องชุด ย่านสุขุมวิท