นายสิทธิพร รัตนาภรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน บริษัท เจ.เอส.พี.พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ JSP เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานไตรมาส 2/60 ว่า บริษัทมีผลประกอบการที่โดดเด่นและเป็นการทำสถิติผลประกอบการเติบโตสูงสุด โดยมีรายได้รวม 1,087.47 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวม 663.67 ล้านบาท หรือปรับตัวเพิ่มขึ้น 63.86% และมีกำไรสุทธิ 6.48 ล้านบาท
สำหรับกำไรสุทธิที่ลดลงเนื่องจากเป็นช่วงที่บริษัทฯ เร่งการหากระแสเงินสดจากโครงการคอนโดมิเนียมเพื่อลดภาระหนี้และปรับโครงสร้างทางการเงินให้แข็งแกร่งขึ้น
โดยที่ไตรมาส 3-2560 เป็นต้นไป บริษัทฯ ปรับราคาขายจากโครงการที่ประสบความสำเร็จในแนวราบเพื่อให้ผลการดำเนินงานเป็นไปตามเป้าหมาย
สำหรับผลประกอบการไตรมาส 2 ปี 2560 และ ไตรมาส 2 ปี 2559 บริษัทฯ และบริษัทย่อยมียอดโอนกรรมสิทธิอสังหาริมทรัพย์เพื่อการจำหน่าย โดยในไตรมาส 2/60 มีรายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ของบริษัทฯ และบริษัทย่อยอยู่ที่ 1,036.11 ล้านบาท เปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ 488.13 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้น 547.98ล้านบาท เพิ่มขึ้น 112.26% และมีรายได้จากการให้เช่าและบริการของบริษัทฯ และบริษัทย่อยสำหรับไตรมาส2/2560 เท่ากับ 32.74 ล้านบาท หรือ 3.01% ของรายได้รวม ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนไตรมาส 2/59เท่ากับ 14.29 ล้านบาท
โดยผลประกอบการมีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้น ซึ่งมีปัจจัยสนับสนุนจากการรับรู้รายได้การโอนกรรมสิทธิ์เข้ามาอย่างต่อเนื่องจากโครงการแนวราบ ได้แก่ โครงการ JSP City สุขุมวิท-แพรกษา, รังสิตคลอง1 บางปะกง-บ้านโพธิ์, ติวานนท์-บางกระดี และ J Grand (สาทร-กัลปพฤกษ์) จึงส่งผลให้บริษัทมีผลประกอบการสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้สำหรับยอดทำสัญญาใหม่ในครึ่งปีแรกมียอดรวม 3,600 ล้านบาท
สำหรับทิศทางธุรกิจช่วงครึ่งปีหลัง คาดว่าจะยังเติบโตในทิศทางดี โดยมีการปรับกลยุทธ์ชะลอเปิดโครงการใหม่ เร่งบริหารและระบายสต็อกสินค้าโครงการแนวราบ เพิ่มยอดขาย ปรับราคาขึ้น และเร่งโอน โดยโครงการที่บริษัทจะมุ่งเน้นทำตลาด อาทิ โครงการเจ ซิตี้ อัสสัมชัญ-ศรีราชา, เจ ซิตี้ รัตนาธิเบศร์-บางบัวทอง, เจ วิลล่า วงแหวนบางใหญ่ และ เจ ซิตี้ รัตนาธิเบศร์-บางบัวทอง มูลค่าโครงการรวมกว่า 14,000 ล้านบาท ปัจจุบันบริษัทมีแบ็กล็อกในมือกว่า 3,800 ล้านบาท ซึ่งจะรับรู้รายได้ภายในปีนี้ประมาณ 3,000 ล้านบาท และส่วนที่เหลือจะทยอยรับรู้รายได้ในต้นปี 2561 โดยในปี 2560 บริษัทมั่นใจว่าจะสามารถทำรายได้ที่ 5,000 ล้านบาท หรือเติบโตไม่น้อยกว่า 20% ตามที่ตั้งเป้าไว้