นางปรียนาถ สุนทรวาทะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงภาพรวมผลการดำเนินงานของบริษัทฯ ในช่วงครึ่งปีแรกของปีนี้ (มกราคม – มิถุนายน 2560) ว่า บริษัทฯ มีรายได้จากการขายและการให้บริการจำนวน 15,615 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งมาจากการรับรู้รายได้จากการขายไฟฟ้าของโรงไฟฟ้าอมตะ บี.กริม เพาเวอร์ 5 (ABP5) ในนิคมอุสาหกรรมอมตะนคร และการเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ของโรงไฟฟ้า บี.กริม เพาเวอร์ ดับบลิวเอชเอ 1 (BPWHA1) ในนิคมอุสาหกรรมเหมราช ซึ่งทั้ง 2 โครงการเปิดให้ดำเนินการเชิงพาณิชย์เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2559 และ 1 พฤศจิกายน 2559 ตามลำดับ ซึ่งสัดส่วนของรายได้ส่วนใหญ่มาจากการขายไฟฟ้าให้ กฟผ. 62% และลูกค้าอุตสาหกรรมในไทย 29% ส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษี และค่าเสื่อมราคา (EBITDA) 4,356 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 17% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ในขณะที่ EBITDA margin เพิ่มขึ้นเป็น 28% โดยมีสาเหตุหลักมาจากประสิทธิภาพที่สูงขึ้นของโครงการโรงไฟฟ้าใหม่ๆ ของกลุ่มบริษัทฯ ที่ทยอยเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ กำไรสุทธิปรับปรุง 1,479 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิปรับปรุงส่วนที่เป็นของบริษัทใหญ่จำนวน 874 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีสาเหตุหลักมาจากการเพิ่มขึ้นของกำไรจากการดำเนินงาน
"ผลการดำเนินงานในครึ่งปีแรกของปีนี้เติบโตเกินกว่าที่คาดการณ์ไว้ เนื่องจากประสิทธิภาพของโรงไฟฟ้าใหม่ที่เปิดให้ดำเนินการเชิงพาณิชย์นั้นค่อนข้างดีมาก การบริหารจัดการต้นทุนของโรงไฟฟ้า รวมถึงการลดต้นทุนทางการเงินของบริษัท โดยการออกหุ้นกู้โครงการโรงไฟฟ้ามูลค่า 11,500 ล้านบาท โดยเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ชุดนั้น ได้นำไปชำระหนี้เงินกู้จากสถาบันการเงินของกลุ่มบริษัทฯ ที่มีอัตราดอกเบี้ยสูงกว่า
นอกจากนี้เงินที่ได้จากการระดมทุนจาก IPO ที่ผ่านมากว่า 11,000 ล้านบาท ยังทำให้สัดส่วนหนี้สินต่อทุนสุทธิของบริษัทฯ คาดว่าจะอยู่ที่ 1.6 เท่าตามที่ได้ประมาณการไว้ ส่งผลให้บริษัทฯมีความพร้อมสำหรับการหาแหล่งเงินทุนเพิ่มเติมจากธนาคารสำหรับการลงทุนในอนาคต อีกทั้งบริษัทฯ ยังมีแผนที่จะเตรียมออกหุ้นกู้โครงการอย่างต่อเนื่องในช่วงปลายปี 2560 ต่อปี 2561 สำหรับโครงการโรงไฟฟ้าที่เปิดดำเนินการมา 2-3 ปีแล้ว เพื่อลดต้นทุนทางการเงินของโครงการให้อยู่ในระดับเดียวกับหุ้นกู้โครงการที่บริษัทฯเคยออกในเดือน เมษายนที่ผ่านมา ซึ่งจะส่งผลให้บริษัทฯ สามารถเพิ่มความสามารถในการทำกำไรสุทธิในอนาคตได้" นางปรียนาถ กล่าว
นางปรียนาถ กล่าวเพิ่มเติมว่า "สำหรับการดำเนินงานในช่วงไตรมาส 3-4 ของปีนี้ บริษัทฯ ยังคงเดินหน้าสานต่อตามแผนการพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าที่วางไว้ โดยมีโครงการโรงไฟฟ้าที่เพิ่งเปิดให้ดำเนินการเชิงพาณิชย์ไปเมื่อเร็วๆนี้ คือ โรงไฟฟ้าพลังน้ำ เซน้ำน้อย 2 และเซกะตำ 1 (XXHP) ซึ่งเปิดให้ดำเนินการเชิงพาณิชย์ ที่ สปป. ลาว ไปเมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2560 ที่ผ่านมา และจากผลการทดสอบประสิทธิภาพของโรงไฟฟ้านั้นก็ได้ค่าสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ ทำให้คาดว่าจะได้อัตราผลตอบแทนอยู่ที่ประมาณ 20% และบริษัทยังมีความคืบหน้าในการก่อสร้างโครงการโรงไฟฟ้าแบบ SPP อีก 3 โครงการ ขนาดกำลังผลิตรวม 399 เมกะวัตต์ ซึ่งสามารถดำเนินการก่อสร้างได้ตามแผนที่วางไว้ โดยจะสร้างแล้วเสร็จและพร้อมเปิดให้ดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้ภายในปี 2561 ตรงตามกำหนดทุกโครงการ
นอกจากนี้บริษัทฯยังมีการศึกษาความเป็นไปได้ในการลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าทั้งในไทยและต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง ซึ่งล่าสุดบริษัทฯ อยู่ในระหว่างการเจรจาและสรุปรายละเอียดข้อตกลงในการลงทุนโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศไทย กับองค์การทหารผ่านศึกและสหกรณ์การเกษตร ขนาดกำลังการผลิตรวม 36 เมกะวัตต์ รวมถึงกำลังเตรียมดำเนินการเพื่อเข้าประมูลโครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในแบบ SPP Hybrid Firm จำนวน 300 เมกะวัตต์ ซึ่งคาดว่าจะสามารถเปิดประมูลได้ภายในปีนี้ด้านโครงการโรงไฟฟ้าที่ต่างประเทศนั้น บริษัทฯ อยู่ระหว่างการเจรจาและสรุปรายละเอียดข้อตกลงในการลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศมาเลเซีย ขนาดกำลังการผลิต 180 เมกะวัตต์ รวมทั้งอยู่ในระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้ในการลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าในประเทศฟิลิปปินส์ และเวียดนาม ซึ่งคาดว่าจะได้ข้อสรุปภายในสิ้นปีนี้"
ปัจจุบัน บริษัทฯ ลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าจำนวนทั้งสิ้น 44 โครงการ มีกำลังการผลิตติดตั้งรวม 2,431 เมกะวัตต์ โดยมีโครงการโรงไฟฟ้าที่เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์แล้วรวมทั้งสิ้น 30 โครงการ มีกำลังการผลิตติดตั้งรวม 1,646 เมกะวัตต์ และมีโครงการโรงไฟฟ้าที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างและอยู่ระหว่างการพัฒนา 14 โครงการ มีกำลังการผลิตติตตั้งรวม 785 เมกะวัตต์