ดร.ธนาวุฒิ พรโรจนางกูร หัวหน้าสายงานจัดการกองทุน บลจ.บางกอกแคปปิตอล จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทเตรียมเสนอขาย "กองทุนเปิด BCAP SET100 ETF (BSET100)" ระหว่างวันที่ 28 ส.ค. – 4 ก.ย. 2560 โดยกองทุน BSET100 เป็นกองทุนอีทีเอฟ (Exchange Traded Fund : ETF) ที่มีนโยบายเน้นลงทุนในหุ้นที่อยู่ในดัชนี SET100 ทั้งนี้กองทุนจะใช้กลยุทธ์การลงทุนเชิงรับ (Passive Management Strategy) โดยมุ่งหวังให้ผลประกอบการเคลื่อนไหวตามดัชนีชี้วัด ซึ่งกองทุน BSET100 นี้เป็นกองทุนอีทีเอฟกองที่2 ของบริษัทต่อจาก "กองทุนเปิด BCAP MSCI Thailand ETF FUND (BMSCITH)" ซึ่งถือเป็นการเติมเต็มโพรดักท์ของบริษัทตามแผนงานที่วางเอาไว้ด้วย
"กองทุน BSET100 นี้ จะเป็นการลงมาโฟกัสในหุ้นขนาดใหญ่และกลางทั้ง 100 บริษัท ของตลาดหุ้นไทย ที่ครอบคลุมกว่า 90% ของมูลค่าโดยรวมของหุ้นสามัญที่สามารถเปลี่ยนมือได้ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ดังนั้นถ้านักลงทุนที่ต้องการลงทุนในตลาดหุ้นไทยสามารถลงทุนผ่านกองทุน BSET100 ได้เลย เสมือนหนึ่งลงทุนในหุ้นไทยที่ลงทุนได้ไปแล้วกว่า 90% จะมีอีก 10% ที่จะเป็นกลุ่มหุ้นขนาดเล็ก ซึ่งนั่นก็อยู่ในแผนงานของบริษัทที่จะจัดทำกองทุนอีทีเอฟที่ลงทุนในกลุ่มหุ้นขนาดเล็กต่อไปในอนาคตด้วยเช่นกัน"
ดร.ธนาวุฒิ ยังกล่าวอีกว่า กองทุน BSET100 มุ่งเน้นที่จะลงทุนเต็มที่ตลอดเวลา (Fully Invested) ซึ่งจะใช้กลยุทธ์แบบFull Replication ในการเข้าไปลงทุนในหลักทรัพย์ทุกตัวที่เป็นส่วนประกอบของดัชนี SET100 ดังกล่าว ซึ่งเป็นกลยุทธ์เดียวกันกับที่ใช้กับกองทุน BMSCITH ดังนั้นคาดว่าในแง่ของค่าความคลาดเคลื่อนจากการแทรคดัชนี (Tracking Error) ของกองทุนBSET100 จะต่ำเช่นเดียวกับกองทุน BMSCITH ที่อยู่ประมาณ 0.06% เท่านั้น สำหรับกองทุน BSET100 จดทะเบียนกองทุนไว้ 2,000 ล้านบาท ซึ่งจากการศึกษาด้วยการทำข้อมูลย้อนหลัง (Back Test) แล้วพบว่า กลยุทธ์การลงทุนนี้สามารถรองรับขนาดกองทุนไปถึงระดับ 5,000 ล้านบาท ได้อย่างสบาย
นอกจากนี้กองทุน BSET100 ยังมีจุดเด่น คือ การเข้าไปลงทุนในหุ้นที่อยู่ในดัชนี SET100 ซึ่งเป็นหุ้นขนาดใหญ่-กลางนั้น จากข้อมูลในช่วง 10 ปี ที่ผ่านมา (ณ วันที่ 31 ก.ค. 60) พบว่า ผลตอบแทนของดัชนีSET100 เฉลี่ยอยู่ที่ 9.34% ต่อปี ในขณะที่ดัชนี MSCI Thailand และดัชนี SET50 เฉลี่ยอยู่ที่ 8.09% และ 8.95% ตามลำดับ ซึ่งจะเห็นว่าผลตอบแทนของดัชนี SET100จะชนะดัชนีหุ้นขนาดใหญ่เฉลี่ยอยู่ประมาณ 1% ต่อปี ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติในระยะยาวหุ้นขนาดกลาง-ใหญ่ที่จะมีพรีเมี่ยมที่มากกว่ากลุ่มหุ้นขนาดใหญ่อยู่แล้ว
ซึ่งหากมองมาที่ค่าความเสี่ยง (S.D.) ของดัชนี SET100 เฉลี่ยอยู่ที่ 21.91% ในขณะที่ของดัชนี MSCI Thailand และดัชนี SET50 เฉลี่ยอยู่ที่ 21.57% และ 21.61% ตามลำดับ ซึ่งใกล้เคียงกันกับกลุ่มหุ้นขนาดใหญ่
"จุดเด่นของดัชนีSET100 คือ การกระจายตัวของกลุ่มอุตสาหกรรมที่มากกว่าและโฟกัสมาในหุ้นที่เน้นการเติบโตจากภายในประเทศมากขึ้น (Domestic Play) ซึ่งทำให้ได้รับผลกระทบจากปัจจัยลบจากภายนอกประเทศน้อยลง และมีศักยภาพในการเติบโตที่สูงกว่าเพราะโฟกัสมาในหุ้นที่เป็นท้องถิ่น (Local) มากขึ้น เน้นการเติบโตจากภายในประเทศ ทำให้มีศักยภาพในการเติบโตที่ดีกว่าด้วยเช่นกันในระยะยาว หากดูกลุ่มดัชนีผ่านกองทุน BMSCITH จะมีอยู่ 12 กลุ่มอุตสาหกรรม ในขณะที่ในกองทุน BSET100 จะมีถึง 18 กลุ่มอุตสาหกรรม ซึ่งบางอุตสาหกรรมจะไม่มีอยู่ในกองทุน BMSCITH เช่น เงินทุนหลักทรัพย์ ธุรกิจการเกษตร บรรจุภัณฑ์ รับเหมาก่อสร้าง หรือท่องเที่ยว เป็นต้น"
ดร.ธนาวุฒิ กล่าวเสริมว่า ในเรื่องของสภาพคล่องในตลาดรองมั่นใจว่าจะทำได้ดีเช่นเดียวกับกองทุน BMSCITH เพราะได้บมจ.หลักทรัพย์บัวหลวง ซึ่งเป็นบริษัทแม่ทำหน้าที่เป็นผู้สร้างสภาพคล่องในตลาดให้ (Market Maker) เพียงรายเดียว ซึ่งบริษัทแม่เองต้องการเห็นบริษัทลูกมีผลิตภัณฑ์ที่ดีมาเสนอให้กับลูกค้า มากกว่าที่จะดูแค่มิติของผลประโยชน์ทางธุรกิจเท่านั้น ดังนั้นนักลงทุนจึงมั่นใจได้ว่าขนาดของกองทุน BSET100 จะไม่ส่งผลต่อสภาพคล่องในการซื้อขายในตลาดรองแต่ประการใด ในส่วนของนโยบายจ่ายเงินปันผลนั้นบริษัทตั้งใจที่จะจ่ายปันผลให้กับนักลงทุนอยู่แล้ว
สำหรับกองทุน BSET100 นี้ บริษัทได้กำหนดราคาขายเอาไว้ที่ 10 บาทต่อหน่วย และในช่วงไอพีโอบริษัทจะไม่คิดค่าธรรมเนียมการขาย (Front-end Fee) กับนักลงทุน ทั้งนี้นักลงทุนที่สนใจจะลงทุนกับกองทุน BSET100 สามารถจองซื้อผ่านบมจ.ธนาคารกรุงเทพและบมจ.หลักทรัพย์ บัวหลวง ทุกสาขาทั่วประเทศ ด้วยมูลค่าขั้นต่ำของการซื้อครั้งแรก 20,000 บาท และเพิ่มเป็นทวีคูณของ 1,000 บาท ซึ่งหลังจากไอพีโอแล้วจะนำหน่วยลงทุนของกองทุน BSET100 เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยตั้งแต่วันที่ 12 ก.ย. 60 เป็นต้นไป
"แม้ตลาดหุ้นไทยในภาพรวมปีนี้อาจจะยังไม่เติบโตมากนัก แต่จากนี้ไปถึงสิ้นปีก็ยังมองว่าผลตอบแทนที่ได้รับจะยังคงดีกว่าการลงทุนในตราสารหนี้ได้ และหากมองภาพที่ยาวขึ้นของตลาดหุ้นไทยแล้ว ถ้ากำไรบริษัทจดทะเบียนยังคงเติบโตได้ตามคาด ในขณะที่ราคาตลาดหุ้นไทยยังไม่ขยับหวือหวา เชื่อมั่นว่าในท้ายที่สุดนักลงทุนต่างชาติเองก็ต้องกลับมามองตลาดหุ้นไทยเช่นเดียวกัน และอยากให้นักลงทุนมองการลงทุนในหุ้นเป็นภาพระยะยาวด้วยเช่นกัน" ดร.ธนาวุฒิกล่าวสรุป