(รูปภาพ: http://mma.prnewswire.com/media/548915/Puma_Energy_Admore_Group.jpg )
Admore เป็นหนึ่งในบริษัทการตลาดน้ำมัน (Oil Marketing Company: OMC) อิสระชั้นนำในปากีสถาน ด้วยเครือข่ายค้าปลีกมากกว่า 470 แห่งทั่วประเทศ ขณะที่ Puma Energy เป็นหนึ่งในบริษัทน้ำมันกลางน้ำและปลายน้ำรายใหญ่ที่สุดของโลก ซึ่งการซื้อกิจการครั้งนี้ถือเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ระดับโลกของ Puma Energy ที่มุ่งลงทุนอย่างมีวินัยในตลาดที่มีการเติบโตรวดเร็วและมีความต้องการผลิตภัณฑ์น้ำมันสูง ตลอดจนเปิดโอกาสให้มีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในท้องถิ่น สร้างความมั่นคงด้านอุปทาน และนำเสนอผลิตภัณฑ์ระดับโลกแก่ผู้บริโภคท้องถิ่น
การร่วมลงทุนในครั้งนี้จะเป็นการเปิดทางให้ร้านค้าปลีก ร้านสะดวกซื้อ และผลิตภัณฑ์คุณภาพภายใต้แบรนด์ Puma Energy ได้เข้าสู่ตลาดปากีสถาน ทั้งยังนำไปสู่การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานห่วงโซ่อุปทานที่ดีที่สุดในประเทศ เพื่อตอบสนองความต้องการในอนาคตของหุ้นส่วนธุรกิจค้าปลีกและลูกค้าทั่วไป
Pierre Eladari ซีอีโอของ Puma Energy กล่าวว่า "Puma Energy ยังคงเดินหน้าขยายกิจการเข้าสู่ตลาดใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง โดยใช้โมเดลธุรกิจอันเป็นที่ยอมรับเพื่อส่งมอบคุณค่าแก่ลูกค้าเช่นเดียวกับผู้ถือหุ้น ปากีสถานมีทิศทางการเติบโตที่มั่นคง ซึ่งการเติบโตนี้จะผลักดันให้อุปสงค์ในอุตสาหกรรมน้ำมันปลายน้ำเพิ่มสูงขึ้น เราและหุ้นส่วนรายใหม่ตั้งใจที่จะมีบทบาทสำคัญต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมนี้ในอนาคต ด้วยการทำงานร่วมกับผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งในภาครัฐ ภาคธุรกิจ และภาคสาธารณะ เพื่อยกระดับความน่าเชื่อถือ มาตรฐาน บริการ และผลิตภัณฑ์ที่มีอยู่ในขณะนี้"
David Holdenผู้จัดการทั่วไปของธุรกิจร่วมทุน กล่าวว่า "Puma Energy รู้สึกประทับในธุรกิจของ Admore มาโดยตลอด ทั้งในแง่กลยุทธ์การลงทุน ฐานลูกค้า และความเป็นเลิศในการบริหารจัดการและพนักงาน ผมเชื่อมั่นว่า เราจะสามารถมอบประโยชน์แก่ลูกค้าได้เพิ่มขึ้น ด้วยความเชี่ยวชาญด้านการค้าปลีก ขนส่ง และการสร้างหลักประกันในการจัดหาเชื้อเพลงคุณภาพเยี่ยมและเชื่อถือได้"
Amir Waliuddin Chishti ประธาน Chishti Group กล่าวว่า "เราเชื่อว่าการเป็นพันธมิตรกับ Puma Energy จะมอบประโยชน์ต่อเครือข่าย Admore ของเรา โดยเชื่อมต่อปากีสถานกับตลาดโลก ขณะเดียวกันก็รับประกันแหล่งอุปทานเชื้อเพลิงเพื่อขับเคลื่อนการเจริญเติบโตของปากีสถานได้ต่อไปในอนาคต เราเล็งเห็นโอกาสมากมายจากการลงทุนอย่างต่อเนื่องในโครงสร้างพื้นฐานและแหล่งอุปทานสำหรับลูกค้าของเรา"
เกี่ยวกับ Puma Energy
Puma Energy เป็นบริษัทน้ำมันกลางน้ำและปลายน้ำครบวงจรระดับโลกที่ดำเนินงานในกว่า 47 ประเทศ บริษัทก่อตั้งในปี 2540 ในอเมริกากลาง จากนั้นได้ขยายการดำเนินงานไปทั่วโลก และประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็วทั้งในแง่ของการเติบโต ความหลากหลาย และการพัฒนาสายผลิตภัณฑ์ Puma Energy มีพนักงานกว่า 8,000 คน โดยมีสำนักงานใหญ่ในสิงคโปร์ และมีศูนย์กลางประจำภูมิภาคในโจฮันเนสเบิร์ก (แอฟริกาใต้) ซานฮวน (เปอร์โตริโก) บริสเบน (ออสเตรเลีย) และทาลลินน์ (เอสโตเนีย)
กิจกรรมหลักของ Puma Energy ในธุรกิจกลางน้ำประกอบด้วย การจัดหา จัดเก็บ และขนส่งผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม โดยมีการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานซึ่งช่วยให้ระบบห่วงโซ่อุปทานมีประสิทธิภาพสูงสุด พร้อมรักษามูลค่าทั้งในฐานะเจ้าของสินทรัพย์และผู้จำหน่ายผลิตภัณฑ์ ส่วนธุรกิจปลายน้ำประกอบด้วย การจัดจำหน่าย ค้าปลีก และค้าส่งผลิตภัณฑ์น้ำมันกลั่นหลากหลายประเภท รวมทั้งนำเสนอผลิตภัณฑ์เพิ่มเติมอย่างน้ำมันหล่อลื่น บิทูเมน ก๊าซแอลพีจี และน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับเรือ ปัจจุบัน Puma Energy มีเครือข่ายสถานีบริการทั่วโลกกว่า 2,500 แห่ง นอกจากนั้นยังจัดหาแพลตฟอร์มที่แข็งแกร่งให้กับนักธุรกิจอิสระที่ต้องการพัฒนาธุรกิจของตนเอง โดยนำเสนอแหล่งพลังงานทางเลือกใหม่นอกเหนือจากแหล่งพลังงานเดิมๆ
สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม สามารถเยี่ยมชม: http://www.pumaenergy.com
เกี่ยวกับ Chishti Group
Chishti Group คือกลุ่มบริษัทชื่อดังในปากีสถานที่ดำเนินธุรกิจหลากหลายประเภทในภาคอุตสาหกรรมต่างๆ ซึ่งรวมถึงเฮลธ์แคร์ การศึกษา บริการทางการเงิน และตลาดน้ำมัน ปัจจุบัน กลุ่มบริษัทมีรายได้มากกว่า 150 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี และมีพนักงาน 3,000 คน ในภาคเฮลธ์แคร์และการศึกษานั้น ทางกลุ่มบริษัทประสบความสำเร็จในการดำเนินงานโรงพยาบาลระดับตติยภูมิขนาด 300 เตียง (i) ที่อำนวยความสะดวกด้านการรักษาพยาบาล รวมถึงบริหารสถาบันการศึกษาที่น่าเชื่อถือ (ii) ซึ่งเปิดหลักสูตร MBBS, BDS, หลักสูตรสูงกว่าปริญญาตรี และการพยาบาล นอกจากนี้ บริษัทยังเป็นผู้นำในธุรกิจซื้อขายหลักทรัพย์ในตลาดหุ้น ตราสารหนี้ และตลาดเงิน และติดทำเนียบ 1 ใน 10 สุดยอดธุรกิจของประเทศ Chishti Group ซึ่งได้พลิกวิกฤต 3 หน่วยธุรกิจที่เคยประสบภาวะขาดทุนจนกลับมามีกำไร (ด้วยพันธกิจอันแข็งแกร่งที่มีต่อประเทศ บวกทุนมนุษย์ที่ยอดเยี่ยม และความสามารถในการดำเนินธุรกิจที่เหนือชั้น) ได้เข้าซื้อกิจการ Admore ในปี 2557 และจากนั้นมา Admore ก็สามารถขยายร้านค้าปลีกจนมีมากกว่า 470 แห่ง อีกทั้งมีการพัฒนาอย่างเห็นได้ชัดในด้านอุปทาน คลังสินค้า และบรรษัทภิบาลภายในระยะเวลาอันสั้น