นางจินตณา กิ่งแก้ว รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท สยามแก๊ส แอนด์ ปิโตรเคมีคัลส์ จำกัด (มหาชน) หรือ SGP เปิดเผยถึงแนวโน้มผลงานการดำเนินงานในช่วงครึ่งหลังของปี 2560 คาดว่าจะเติบโตต่อเนื่องดีกว่าจากช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา เนื่องจากครึ่งปีหลังจะเข้าสู่ช่วงไฮซีซันของธุรกิจ สำหรับแนวโน้มราคา LPG ในช่วงครึ่งหลังปีนี้ คาดว่าจะปรับตัวสูงขึ้นจากปริมาณการใช้ที่เพิ่มขึ้นในช่วงฤดูหนาว โดยปัจจุบันราคาก๊าซ LPG ตลาดโลกเฉลี่ยเดือนกันยายนเท่ากับ 490 เหรียญสหรัฐต่อตัน ปรับตัวขึ้นจากเดือนสิงหาคมจำนวน 50 เหรียญสหรัฐต่อตัน รวมไตรมาสที่ 3 ราคาก๊าซ ปรับตัวขึ้น 102.50 เหรียญสหรัฐต่อตันจากไตรมาสที่ 2 ที่ผ่านมา
"ปีนี้ยอดขายคาดว่าการเติบโตจะเป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ที่ร้อยละ 5.2 จากปีก่อน หรือที่ประมาณ 3.2 ล้านตัน อีกทั้งมีความมั่นใจว่าผลประกอบการจะดีกว่าปีก่อนแน่นอนจากปริมาณการขายที่ปรับตัวสูงขึ้นทั้งในและต่างประเทศ ประกอบกับบริษัทสามารถบริหารจัดการสินค้าและต้นทุนได้เป็นอย่างดี ส่วนการทำธุรกิจ LPG ในต่างประเทศยังเติบโตต่อเนื่องโดยเฉพาะในตลาดจีน ปีนี้คาดว่าจะขยายตัว 5-10% และตลาดมาเลเซีย ขยายตัวได้ดี" นางจินตณา กล่าว
นางจินตณา กล่าวเพิ่มเติมว่า จากการที่รัฐบาลได้ลอยตัวราคา LPG ทั้งระบบตั้งแต่วันที่ 1 ส.ค.2560 ที่ผ่านมา บริษัทค่อนข้างมั่นใจว่าจะเป็นสิ่งที่ช่วยสนับสนุนให้บริษัทสามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง เพราะบริษัทสามารถบริหารจัดการเรื่องต้นทุนสินค้า และการบริหารจัดการเรื่องของระบบการลำเลียงขนส่งสินค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสามารถแข่งขันได้ โดยที่ผ่านมาบริษัทได้ขออนุญาตจากกรมธุรกิจพลังงานเพื่อนำเข้า LPG มาจำหน่ายในประเทศแล้ว 44,000 ตัน/เดือน และนำเข้า LPG เพื่อส่งออกอีกราว 3 พันตัน/เดือน โดยปัจจุบันบริษัทมีส่วนแบ่งทางการตลาดอยู่ที่ 24.6% เป็นอันดับ 2 ของตลาดก๊าซแอลพีจีในประเทศ
อย่างไรก็ตามสถานการณ์การแข่งขันของธุรกิจ LPG ในประเทศจะยังมีการแข่งขันอยู่ โดยเฉพาะในส่วนของ LPG ภาคขนส่ง เนื่องจากความต้องการใช้ก๊าซแอลพีจีในภาคขนส่งลดลง ส่งผลให้ผู้ค้าที่อยู่ในภาคขนส่งมีการแข่งขันเพื่อให้ได้มาซึ่งยอดขาย ซึ่งอาจมีการแข่งด้านราคาอยู่ ซึ่งบริษัทเองเห็นว่าเพื่อลดผลกระทบจากธุรกิจก๊าซแอลพีจีภาคขนส่งที่เกิดขึ้น บริษัทได้ร่วมมือกับผู้ประกอบการน้ำมันรายใหญ่จำนวน 2 ราย ในการลงทุนทำสถานีบริการน้ำมันในสถานีบริการก๊าซ LPG ของบริษัท โดยตั้งเป้าไว้ทั้งสิ้น 10 แห่ง เพื่อเป็นทางเลือกของผู้บริโภค นอกจากนี้บริษัทฯ ได้มีการเน้นการจำหน่ายก๊าซ LPG ในภาคครัวเรือน และอุตสาหกรรมเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มอุตสาหกรรม ซึ่งเชื่อว่าจะช่วยผลักดันปริมาณขายของบริษัทเติบโตได้มากกว่าตลาดรวมที่คาดโต 2-3%
สำหรับผลการดำเนินงานของบริษัทฯและบริษัทย่อยงวด 6 เดือนแรกของปีนี้ สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2560 บริษัทฯมีกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของบริษัทใหญ่จำนวน 1,077.12 ล้านบาท เปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปี 2559 ซึ่งมีผลกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของบริษัทใหญ่จำนวน 294.66 ล้านบาท กำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 782.46 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 265.55 โดยบริษัทฯ มีรายได้จากการขาย จากการขนส่ง และการให้บริการ เป็นจำนวนเงิน 27,713.34 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3,684.20 ล้านบาท หรือร้อยละ 15.33 เปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนซึ่งอยู่ที่ 24,029.14 ล้านบาท โดยสาเหตุหลักที่รายได้เพิ่มขึ้นจากปริมาณการขายที่เพิ่มขึ้นและราคาก๊าซ LPG ในตลาดโลก ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นกว่าปีก่อนในงวดเดียวกัน โดยราคาก๊าซ LPG ในตลาดโลกเฉลี่ย 6 เดือนของปี 2560 อยู่ที่ 466 เหรียญสหรัฐต่อเมตริกตัน เทียบกับงวดเดียวกันของปี 2559 ราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 335 เหรียญสหรัฐต่อเมตริกตัน
"ผลงานครึ่งปีแรกรายได้และกำไรออกมาในระดับที่น่าพอใจจากปริมาณการขายและราคาก๊าซ LPG ในตลาดโลกที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น ดังนั้นที่ประชุมคณะกรรมการจึงมีมติอนุมัติการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลสำหรับงวด 6 เดือน สิ้นสุด 30 มิ.ย.2560 ในอัตราหุ้นละ 0.50 บาทต่อหุ้น โดยกำหนดวันปิดสมุดทะเบียนในวันที่ 28 สิงหาคม 2560 และกำหนดวันจ่ายเงินปันผลในวันที่ 7 กันยายนนี้" นางจินตณา กล่าว