กรุงเทพฯ--26 พ.ค.--ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
นายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการสมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ เปิดเผยผลสรุปความเห็นของนักวิเคราะห์ว่า ในสถานการณ์ปัจจุบันที่ดัชนี
ตลาดหลักทรัพย์ทั่วโลกรวมทั้งไทย ต่างปรับตัวลดลงอย่างหนักจากปัจจัยลบต่าง ๆ มากมาย ส่งผลให้นักวิเคราะห์ต่างปรับลดประมาณการตัวเลขสำคัญทาง
เศรษฐกิจบางตัว โดยคาดการณ์ว่า GDP Growth จะลดลงเล็กน้อยมาอยู่ที่ 4.3% และผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนจะเติบโตลดลงมาอยู่ที่ 2.8%
อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์มองว่า โดยเฉลี่ยดุลบัญชีเดินสะพัดจะขาดดุลลดลงเหลือ 2.6 พันล้านดอลลาร์สรอ. นอกจากนี้ ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ในวันสิ้นปี
2549 ยังน่าจะสามารถกลับมายืนอยู่ที่ระดับ 800 จุด โดยกลุ่มที่น่าลงทุนคือ พลังงาน สื่อสาร และชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ หุ่นเด่นคือ PTT กลยุทธ์
การลงทุนระยะยาวคือ ลงทุนด้วยความระมัดระวัง เลือกหุ้นที่มีพื้นฐานดี ที่มีภูมิต้านทานต่อราคาน้ำมัน อัตราดอกเบี้ย การบริโภคที่ชะลอตัวลง และ
การเมือง
สมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ได้จัดทำแบบสอบถามนักวิเคราะห์ ถึงแนวโน้มการลงทุนในตลาดหุ้นในช่วงเดือนพฤษภาคม - ธันวาคม 2549 ซึ่งรวมถึง
ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการลงทุนในตลาดหุ้นทั้งปัจจัยบวกและปัจจัยลบ แนวโน้มอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจและผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียน กลุ่ม
ธุรกิจที่แนะนำให้ลงทุน และกลุ่มธุรกิจที่ควรลดการลงทุน หุ้นสามอันดับแรกที่แนะนำให้ลงทุนและลดการลงทุน รวมถึงสรุปคำแนะนำ ทั้งนี้ มีนัก
วิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์แสดงความเห็นรวม 19 แห่ง
นักวิเคราะห์มองว่าปัจจัยบวกที่สำคัญต่อการลงทุนในตลาดหุ้น คือปัจจัยการเมืองซึ่งน่าจะผ่านจุดต่ำสุดแล้ว และมีความชัดเจนขึ้น โดยมีผู้
ตอบคิดเป็นร้อยละ 18.4 ปัจจัยบวกที่สำคัญในลำดับต่อมา คือ การสะสมของเม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติยังเป็นบวก ซึ่งมีผู้ตอบคิดเป็นร้อยละ 14.3 และลำ
ดับที่สามคือ ภาวะการส่งออกที่ปรับตัวดีขึ้น รวมทั้งการที่อัตราดอกเบี้ยน่าจะปรับตัวขึ้นถึงจุดสูงสุดแล้วโดยมีผู้ตอบคิดเป็นร้อยละ 8.2 เท่ากัน
สำหรับปัจจัยลบนั้น นักวิเคราะห์จำนวนร้อยละ 23.6 มองว่าราคาน้ำมันที่ผันผวนและยังคงอยู่ในระดับสูง รวมทั้งประเด็นทางการเมือง เป็นปัจจัยลบที่
สำคัญที่สุด รองลงมาเป็นเรื่องของอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับสูง ซึ่งมีผู้ตอบร้อยละ 20 นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยอื่นที่มีผู้ตอบจำนวนใกล้เคียง
กันและไม่มากนัก เช่น ค่าเงินบาท, อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่ลดลง, อัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้น เป็นต้น
นักวิเคราะห์มองแนวโน้มการขยายตัวของเศรษฐกิจผ่านตัวเลขสำคัญสำหรับปี 2549 โดยมีการปรับประมาณการใหม่จากมุมมองที่สำรวจเมื่อต้นเดือน
กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ดังนี้ อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจ หรือ GDP Growth เฉลี่ยที่ 4.3% หรือต่ำกว่าการสำรวจครั้งก่อนซึ่งอยู่ที่ 4.9% โดยมีผู้
ประมาณการสูงสุดในรอบนี้ที่ 4.7% และต่ำสุดยังคงเท่าเดิมที่ 4% ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน หรือ EPS Growth ลดลงเมื่อเทียบกับการสำรวจครั้ง
ก่อน โดยมีอัตราเฉลี่ยที่ 2.8% จากเดิม 4.8% ในขณะที่ดุลบัญชีเดินสะพัด ดีขึ้นโดยขาดดุลเฉลี่ย 2.6 พันล้านดอลลาร์สรอ. ซึ่งลดลงจากที่เคยประมาณ
การไว้เดิม 3.3 พันล้าน
สำหรับตัวเลขสำคัญ ณ สิ้นปี 2549 นักวิเคราะห์คาดว่า เงินบาทจะแข็งค่าขึ้นจากที่คาดไว้เดิม โดยอัตราแลกเปลี่ยนระหว่างเงินบาทและ
ดอลลาร์สรอ. เฉลี่ยอยู่ที่ 38.3 บาท มีผู้ประมาณค่าเงินบาทอ่อนสุดที่ 40 และค่าเงินแข็งสุดที่ 36.5 บาท มุมมองของนักวิเคราะห์ต่ออัตราดอกเบี้ย
RP 14 วัน มีแนวโน้มสูงขึ้น โดยเฉลี่ยคาดว่าจะอยู่ที่ 5.3% จากเดิมที่คาดไว้ 4.8% และมีอัตราสูงสุดคือ 6% ต่ำสุด 4.75% ดัชนีตลาดหลักทรัพย์
หรือ SET Index เฉลี่ยที่ 800 จุด ซึ่งลดลงเล็กน้อยจากการสำรวจที่ผ่านมาที่ 808 จุด โดยมีประมาณการสูงสุด 860 จุดและต่ำสุด 720 จุด
เฉลี่ย สูงสุด ต่ำสุด จำนวน บล.ที่ตอบ
คาดการณ์ ณ 3 กพ.49 คาดการณ์ ณ 22 พค.49 คาดการณ์ ณ 3 กพ.49 คาดการณ์ ณ 22 พค.49 คาดการณ์ ณ 3 กพ.49 คาดการณ์ ณ 22 พค.49 คาดการณ์ ณ 3 กพ.49 คาดการณ์ ณ 22 พค.49
รวมทั้งปี 2549
GDP Growth 4.9 4.3 5.3 4.7 4 4 21 19
EPS Growth 4.8 2.8 10 7 -4.2 -6.5 19 19
ดุลบัญชีเดินสะพัด (พันล้านสรอ.) -3.3 -2.6 -8 -6 0.8 4.3 18 17
ณ สิ้นปี 2549
SET Index 808 800 900 860 759 720 19 18
FOREX Bht:US$ 39.7 38.3 41.5 40 38 36.5 21 17
ดอกเบี้ย RP 14 วัน 4.8 5.3 5.75 6 4 4.75 20 16
กลุ่มธุรกิจที่นักวิเคราะห์แนะนำให้ลงทุนในช่วงที่เหลือของปีนี้ 3 อันดับแรก คือ พลังงาน สื่อสาร และชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ โดยมีหุ้น
PTT เด่นที่สุด ส่วนหุ้นที่น่าสนใจรองลงไปมีหลายตัว เช่น ADVANC, BBL, PTTEP, TOP, AOT, BEC, DELTA, HEMRAJ, KBANK, KH, RATCH, SCB, TPI เป็นต้น
สำหรับกลุ่มที่ควรลดการลงทุน คือ กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ ปิโตรเคมี และธุรกิจการเงิน เช่น LH, GBX, ITD, ITV เป็นต้น
นอกจากนี้ นักวิเคราะห์ยังมีคำแนะนำในการลงทุนสำหรับปี 2549 โดยนักวิเคราะห์มองว่าในระยะสั้นตลาดหุ้นมีความเสี่ยงจากตัวเลขเศรษฐกิจที่
ไม่ดีนัก รวมทั้งปัจจัยลบอื่น ๆ และคาดว่าตลาดหุ้นมีโอกาสปรับตัวดีขึ้นในช่วงปลายไตรมาส 3-4 เป็นต้นไป เนื่องจากปัจจัยทางการเมืองน่าจะ
คลี่คลายดีขึ้น เงินลงทุนไหลเข้าจากต่างประเทศ รวมถึงบริษัทจดทะเบียนสามารถปรับตัวรับมือกับราคาน้ำมันและอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นได้ ทั้งนี้
นักลงทุนควรใช้ความระมัดระวังในการลงทุน โดยอาจลดพอร์ตการลงทุนในระยะสั้น เพื่อรอความชัดเจนของปัจจัยการเมือง ภาวะเศรษฐกิจและอัตราดอกเบี้ย จาก
นั้นทยอยซื้อโดยเลือกหุ้นที่มีพื้นฐานดี มีการขยายตัวสม่ำเสมอ ได้รับผลกระทบน้อยจากความผันผวนของราคาน้ำมัน ดอกเบี้ย การชะลอตัวของการบริโภค และ
สถานการณ์ทางการเมือง
แหล่งข้อมูล...สมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ โทร. 02-229-2355-6 อีเมล์ [email protected] ณ วันที่25 พ.ค. 49
สามารถคลิกดูภาพประกอบได้ที่ www.thaipr.net