นายอัครภัทร ทองน้ำตะโก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ควิกโคท โปรดักส์ จำกัด กล่าวว่า ในครึ่งปีที่ผ่านมาภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ยังไม่ได้มีการขยายตัวที่ชัดเจนนักในตลาดวัสดุก่อสร้าง-อิฐมวลเบา แม้จะมีโครงการใช้จ่ายเงินลงทุนของภาครัฐ แต่จากที่ประเมินไว้ในไตรมาสที่ 2 และ 3 นี้ มีแนวโน้มที่เชิงบวกจากการอนุมัติเดินหน้าโครงการพัฒนาเศรษฐกิจภาคตะวันออก หรือ อีอีซีใน 3 จังหวัด ได้แก่ ชลบุรี ระยอง และฉะเชิงเทรา ซึ่งจากโครงการดังกล่าวทำให้ภาคอสังหาฯ เกิดการเคลื่อนไหวในการลงทุนทั้งของกลุ่มทุนไทยและต่างชาติเพื่อเข้าไปลงทุนในพื้นที่ดังกล่าว เพราะมองเห็นกำลังซื้อหากโครงการอีอีซีสำเร็จตามแผนที่รัฐบาลตั้งเป้าหมายไว้ โดยในช่วง 5 ปีแรกของอีอีซี รัฐบาลคาดว่าจะมีงบฯลงทุนจากทั้งภาครัฐและเอกชนไม่น้อยกว่า 1.5 ล้านล้านบาทจากโครงการต่าง ๆ อาทิ การพัฒนาสนามบินนานาชาติอู่ตะเภา การพัฒนาท่าเรือมาบตาพุด เฟส 3 การพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง เฟส 3 โครงการรถไฟทางคู่ และโครงการรถไฟความเร็วสูง
ซึ่งสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ล้วนเป็นสัญญาณที่ดีต่อตลาดปูนซึ่งเป็นวัสดุที่จำเป็นในการก่อสร้าง นอกจากนี้ทางบริษัทฯ ยังมีแผนที่จะเจาะกลุ่มตลาดประเทศเพื่อนบ้านบางประเทศในเออีซี โดยมุ่งลดความเสียเปรียบในเรื่องระยะทางและเวลาในการขนส่ง ทั้งนี้บริษัท ฯ ประเมินว่าประเทศในกลุ่มเออีซีเป็นตลาดที่มีศักยภาพสูง ความต้องการในการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานและอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ยังสามารถเติบโตได้อีกมาก สำหรับตลาดภายในประเทศ แม้ว่าสินค้ากลุ่มวัสดุก่อสร้าง-อิฐมวลเบาในประเทศจะมีสัญญาณการฟื้นตัวที่ดีขึ้นก็ตาม แต่กลุ่มลูกค้าในที่เป็นโครงการพัฒนาอสังหา ฯ เพื่ออยู่อาศัยในครึ่งปีหลังนี้มีการชะลอตัวการลงทุนใหม่ ๆ เนื่องจากยังไม่เห็นสัญญาณการจับจ่ายของผู้บริโภคภาคครัวเรือนเท่าใดนัก ประกอบกับการเข้มงวดในเรื่องการปล่อยสินเชื่อของธนาคารทำให้เม็ดเงินในอุตสาหกรรมนี้ลดลง ส่งผลให้อัตราการแข่งขันในตลาดปูนค่อนข้างรุนแรง เพราะเม็ดเงินที่จะเข้ามาในอุตสาหกรรมนี้ล่าช้ากว่าที่คาดไว้ ทำให้ในครึ่งปีหลังนี้ทุกบริษัทต่างเร่งสร้างยอดขายเพื่อให้เป็นไปตามเป้าหมายของธุรกิจที่วางไว้ของตนเอง
ด้านนางสาวประภารัตน์ สิริวัฒกานนท์ ประธานกรรมการ บริษัท ควิกโคท โปรดักส์ จำกัด กล่าวเพิ่มเติมว่า แม้ตลาดวัสดุก่อสร้าง-อิฐมวลเบา จะมีการแข่งขันสูงและผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ต่างชะลอการลงทุนเพื่อรอคอยเม็ดเงินที่จะเข้ามาในระบบช่วงครึ่งปีหลังนี้ แต่ทางบริษัทควิกโคท ฯ กลับมีมุมมองที่ต่างออกไป เพราะได้มีการลงทุนเม็ดเงินทางการตลาดเพื่อจัดแคมเปญ "ไม่แตกแยก ไม่แตกร้าว" ซึ่งเป็นการสร้างความรับรู้ในแบรนด์ผ่านกิจกรรม CSR โดยเริ่มปล่อยไวรัลคลิปเพื่อโปรโมทแคมเปญนี้ไปตั้งแต่ต้นเดือนที่ผ่านมาในช่องทางสื่อออนไลน์ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อการเพิ่มการรับรู้ในแบรนด์ และเป็นการกระตุ้นยอดขาย ไปพร้อม ๆ กับการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับตราสินค้า "ปูนตราลูกดิ่ง" และกลุ่มเด็กช่าง โดยคลิปดังกล่าวมุ่งเน้นเป็นการรณรงค์ลดความแตกแยก สร้างความปรองดองด้วยความรักความสามัคคีผ่านกิจกรรมเพื่อสังคม ในโครงการ "ไม่แตกแยก ไม่แตกร้าว" โดยหลังจากนี้จะมีการจัดกิจกรรม CSR ร่วมกับสถาบันอาชีวะต่างๆที่ให้ความสนใจเข้าร่วม และส่งตัวแทนมาร่วมพัฒนาชุมชนเพื่อสาธารณประโยชน์ผ่านแคมเปญนี้ เพื่อส่งเสริมให้สังคมไทยเป็นสังคมที่น่าอยู่และเป็นสังคมแห่งการแบ่งปันโดยเริ่มจากกลุ่มคนรุ่นใหม่
"หลังจากเปิดตัวแคมเปญนี้ออกไป บริษัทคาดว่าจะส่งผลทางบวกต่อยอดขาย เพราะเป็นการสร้างการรับรู้แบรนด์ "ปูนตราลูกดิ่ง" ในวงกว้าง ประกอบกับแผนงานตลาดต่อเนื่องที่ทางควิกโคท โปรดักส์จะทยอยปล่อยออกมาหลังจากนี้นั้น จะเป็นปัจจัยสนับสนุนทำให้เป้าหมายการขายในปีนี้เป็นไปตามเป้าหมายใหม่ที่ 1,200 ล้านบาท และเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดจากปูนฉาบอิฐมวลเบาตราลูกดิ่ง 5 % จากมูลค่าตลาดรวมที่ 1.5 หมื่นล้านบาท" นายอัครภัทร กล่าวทิ้งท้าย