บริษัท ฟรีสแลนด์คัมพิน่า (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์นม "โฟร์โมสต์" ประกาศแต่งตั้งนายวิภาส ปวโรจน์กิจ ดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการคนใหม่ เผยแนวโน้มอุตสาหกรรมนมในเอเชียมาแรง ครองความเป็นผู้นำตลาดและเป็นผู้ผลักดันให้ตลาดนมทั่วโลกเติบโต ขณะที่เทรนด์พฤติกรรมการบริโภคนมของชาวเอเชีย มีอัตราการเติบโตเฉลี่ยอยู่ที่ 3.7%ต่อปีหรือเท่ากับ 66 ลิตร/คน/ปี ล่าสุดเผยแผนกลยุทธ์ธุรกิจสู่ปี 2020 มุ่งสานต่อวิสัยทัศน์ในการส่งมอบนมโคคุณภาพ 100% ไปยังผู้บริโภคชาวไทย และสนับสนุนเกษตรกรโคนมไทยให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีและ ผลิตน้ำนมโคที่มีคุณภาพ เตรียมงบลงทุนกว่า 1,000 ล้านบาท ในการเพิ่มประสิทธิภาพและขยายกำลังผลิต ตั้งเป้าเติบโต ปีละ 5% และครองตำแหน่งผู้นำตลาดนมพร้อมดื่มอย่างต่อเนื่อง
นายวิภาส ปวโรจน์กิจ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฟรีสแลนด์คัมพิน่า (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์นม "โฟร์โมสต์" เปิดเผยว่า "ภาพรวมพฤติกรรมการบริโภคนมของผู้บริโภคทั่วโลกพบว่ามีอัตราการบริโภคนมเฉลี่ยอยู่ที่ 113 ลิตร/คน/ปี โดยตลาดในภูมิภาคเอเชียกำลังเป็นที่จับตามอง เนื่องด้วยอัตราการบริโภคที่มีการเติบโตเฉลี่ย 3.7% ต่อปีซึ่งสูงที่สุด เมื่อเทียบกับภูมิภาคอื่นๆทั่วโลก โดยในภูมิภาคเอเชียประเทศที่มีการบริโภคนมเติบโตสูงที่สุด 2 อันดับแรกคือ จีนเติบโตปีละ 3.8% และอินเดียเติบโตปีละ 3.5% ในส่วนของประเทศไทยมีการบริโภคนมเฉลี่ยอยู่ที่ 18 ลิตร/คน/ปี"
เนื่องด้วยการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องในภูมิภาคเอเชียส่งผลให้ในปัจจุบันชาวเอเชียมีกำลังซื้อที่มากขึ้น ประกอบกับความตระหนักและการรับรู้ถึงประโยชน์ของนมโคมีมากขึ้นเมื่อเทียบกับอดีตที่ผ่านมา ทำให้ชาวเอเชียหันมาใส่ใจในการดูแลสุขภาพมากกว่าแต่ก่อน จึงทำให้แนวโน้มการเติบโตของอุตสาหกรรมนมในภูมิภาคนี้มีอัตราการเติบโตกว่า 5% ต่อปี ซึ่งแสดงถึงการเติบโตของ ธุรกิจที่ดีเมื่อเทียบกับตลาดนมฝั่งยุโรปที่มีแนวโน้มการเติบโตที่ลดลง ประกอบกับข้อมูลจากองค์การสหประชาชาติ (United Nation) ที่แสดงให้เห็นว่า กว่าครึ่งของประชากรโลกเป็นชาวเอเชีย (4,500 ล้านคน จากจำนวนประชากรโลก 7,500 ล้านคน) โดยจีนและอินเดีย มีประชากรรวมกว่า 2,700 ล้านคน (1 ใน 3 ของประชากรโลก) จึงถือได้ว่าเอเชียเป็นภูมิภาคที่น่าลงทุนและเป็นตลาดส่งออกที่สำคัญ ทั้งนี้ มีการคาดการณ์ถึงปริมาณการผลิตน้ำนมทั่วโลกในปี 2025 ว่าจะมีเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะตลาดในเอเชียนำโดยอินเดียจะมีการผลิตน้ำนมโคที่มีการเติบโตสูงถึง 50%
นายวิภาส กล่าวว่า "สำหรับแนวทางการดำเนินธุรกิจสู่ปี 2563 (ค.ศ. 2020) นั้น บริษัทฯ ยังคงสานต่อวิสัยทัศน์ในการ "ส่งมอบนมโคคุณภาพ 100% ไปยังผู้บริโภค พร้อมสนับสนุนเกษตรกรโคนมให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีและสามารถผลิตน้ำนมโคได้อย่างมีคุณภาพ" ภายใต้แนวคิดหลัก "ให้ธรรมชาติดูแลคุณ" (Nourishing by Nature)3 ประการ ประกอบด้วย 1. การมอบผลิตภัณฑ์นมโคที่มีคุณภาพและสารอาหารครบถ้วนเพื่อผู้บริโภคทั่วโลก(Better nutrition for the world) 2. การพัฒนาคุณภาพชีวิตของกลุ่มเกษตรกรโคนม (A good living for our farmers) และ 3. การดำเนินธุรกิจที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมให้ยั่งยืนสำหรับคนยุคต่อไป (Now and for generations to come) โดยมีกลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจ ได้แก่ 1. เสริมความแข็งแกร่งให้กับแบรนด์และช่องทางการจัดจำหน่าย 2. สร้างการรับรู้ความเป็นแบรนด์ผู้นำในตลาดที่กำลังเติบโต (แถบอินโด-ไชน่า) และ 3.ขยายธุรกิจไปสู่ทวีปเอเชียที่มีศักยภาพสูงอีกทั้งให้ความสำคัญกับผู้บริโภคกลุ่มที่ชื่นชอบการเล่นกีฬาและกลุ่มผู้สูงวัย"
นายวิภาส กล่าวต่อว่า "แผนการลงทุนภายในระยะเวลา 3 ปีต่อจากนี้ (ปี 2561-2563) บริษัทฯ เตรียมงบลงทุนรวมกว่า 1,000 ล้านบาท ในการเพิ่มประสิทธิภาพของการดำเนินงานและขยายกำลังการผลิตให้มากยิ่งขึ้น เพื่อเสริมความแกร่งให้ธุรกิจอย่างยั่งยืน รวมทั้งเพื่อสนับสนุนเกษตรกรโคนมไทยให้มีคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้นและการผลิตน้ำนมโคอย่างมีคุณภาพ ภายใต้หลักการดำเนินงานเพื่อให้บรรลุเป้าหมายใน 3 ปี ประกอบด้วย 1. เรามุ่งพัฒนาคุณภาพในทุกองค์ประกอบทั้งห่วงโซ่อุปทานตั้งแต่แหล่งวัตถุดิบของ น้ำนมโค นั่นคือ เกษตรกรโคนม ศูนย์รวบรวมน้ำนม การผลิตที่มีมาตรฐาน ตลอดจนการกระจายสินค้าในแต่ละภูมิภาค เพื่อส่งมอบผลิตภัณฑ์นมคุณภาพถึงผู้บริโภค 2. การเติบโตทางธุรกิจ เราต้องเข้าถึงความต้องการของผู้บริโภคเพื่อจะได้นำเสนอผลิตภัณฑ์ที่ตอบสนองความต้องการใหม่ๆ ของผู้บริโภคในหลากหลายวัยและโอกาส 3. ผลกำไรที่ได้เป็นสิ่งที่ขับเคลื่อนไม่เพียงแค่บริษัท แต่รวมไปถึงอุตสาหกรรมโคนมไทย เกษตรกรโคนมไทย ร้านค้า และผู้บริโภคได้มีผลิตภัณฑ์ที่ดีในการบริโภค ทั้งนี้ บริษัทฯ ตั้งเป้ายอดรายได้ในประเทศจะเติบโตขึ้น 5% ในทุกปี และรักษาความเป็นผู้นำตลาดนมพร้อมดื่มอย่างต่อเนื่อง"
ปัจจุบันผลิตภัณฑ์ของบริษัทฯ มีให้เลือกหลากหลายรูปแบบ โดยแบ่งออกเป็น 4 กลุ่มผลิตภัณฑ์ ได้แก่ กลุ่มผลิตภัณฑ์นมพร้อมดื่มยูเอชที กลุ่มผลิตภัณฑ์นมพาสเจอร์ไรส์และโยเกิร์ต กลุ่มผลิตภัณฑ์นมสำหรับเด็ก (โฟร์โมสต์โอเมก้า) กลุ่มผลิตภัณฑ์เพื่อเสริมรสชาติได้แก่ นมข้นหวาน นมข้นจืด (ฟอลคอน โพรเฟสชัลแนล) โดยทุกผลิตภัณฑ์ของโฟร์โมสต์ผลิตจากวัตถุดิบที่ผ่านการคัดสรรมาเป็นอย่างดี ใส่ใจในทุกกระบวนการผลิต มีคุณค่าสารอาหารครบถ้วน เหมาะสำหรับทุกคนในครอบครัว ทั้งนี้ ด้านช่องทางการจัดจำหน่ายของ บริษัทฯ ปัจจุบันมีครอบคลุมทั่วประเทศ แบ่งเป็นร้านค้าทั่วไป มีสัดส่วน 50% และโมเดิร์นเทรด สัดส่วน 50%
ในส่วนของโรงงานผลิตของบริษัทฯ มี 2 แห่ง คือ โรงงานสำโรง จ.สมุทรปราการ ผลิตนมยูเอชที นมข้น และโยเกิร์ตพร้อมดื่ม มีกำลังผลิต 360,000 ตันต่อปี และโรงงานหลักสี่ จ.กรุงเทพมหานคร ผลิตนมพาสเจอร์ไรส์ โยเกิร์ตแบบถ้วยและพร้อมดื่ม มีกำลังผลิต 87,000 ตัน ต่อปี โดยรวมกำลังผลิตทั้งสองโรงงานจะมีสูงถึง 447,000ตันต่อปี
"แผนการตลาดในช่วงไตรมาสที่ 4 ของปีนี้ บริษัทฯ เตรียมรุกตลาดเต็มกำลังภายใต้งบการตลาดกว่า 100 ล้านบาท โดยมุ่งเน้นการทำตลาดในผลิตภัณฑ์กลุ่มหลัก คือ ผลิตภัณฑ์นมโคยูเอชที 100% โดยตอกย้ำถึงคุณภาพและมาตรฐานของนมโฟร์โมสต์ ส่วนผลิตภัณฑ์นมสำหรับเด็กจะมุ่งเน้นการสื่อสารไปยังผู้ปกครองซึ่งมีอิทธิพลในการตัดสินใจเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ รวมถึงการจัดกิจกรรมทางการตลาดครบทุกช่องทางเพื่อขยายฐานผู้บริโภคและกระตุ้นผู้บริโภคชาวไทยให้หันมาดื่มนมมากขึ้นเพื่อเสริมสร้างสุขภาพที่ดีให้แก่คนไทยทุกกลุ่ม และสำหรับผลประกอบการในปีนี้ บริษัทฯ ตั้งเป้ายอดรายได้ในประเทศไทยเติบโตที่ 5% และยอดส่งออกเติบโต 20% ในขณะที่คาดการณ์ว่าอุตสาหกรรมนมในประเทศไทยจะมีมูลค่าประมาณ 61,000 ล้านบาทภายในสิ้นปี 2560" นายวิภาส กล่าวทิ้งท้าย