ประเทศไทยตั้งโครงสร้างพื้นฐานด้านการสื่อสารโทรคมนาคมใหม่เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการให้บริการ

พุธ ๐๔ ตุลาคม ๒๐๑๗ ๑๗:๑๙
นอกจากประเทศไทยจะติดอันดับโลกในฐานะผู้ใช้นวัตกรรมเพิ่มขึ้นแล้ว ไทยยังคงมุ่งหน้ายกระดับการขยายการเข้าถึงบรอดแบนด์

เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม นายพันธ์ศักดิ์ ศิริรัชตพงษ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ได้ประกาศแผนที่จะจัดตั้งสองบริษัทเพื่อให้บริการอินเทอร์เน็ตบรอดแบนด์เพิ่มเติมแก่หน่วยงานของรัฐและประชาชนทั่วไป

ภายใต้ข้อเสนอที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรี บริษัทโครงข่ายบรอดแบนด์แห่งชาติ จำกัด (NBN) และบริษัทโครงข่ายระหว่างประเทศและศูนย์ข้อมูลอินเทอร์เน็ต จำกัด (NGDC) จะให้บริการและจัดการการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตผ่านสายเคเบิลและอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง

ตามข้อเสนอของคณะรัฐมนตรีที่ได้รับการอนุมัติเมื่อกลางเดือนมิถุนายน บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) (CAT Telecom) จะนำ NGDC ซึ่งจะลงทุนในเครือข่ายบรอดแบนด์ระหว่างประเทศ รวมถึงโครงสร้างพื้นฐานของศูนย์ข้อมูล บทบาทของ NBN ซึ่งนำโดยบริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) หน่วยงานด้านโทรคมนาคมแห่งชาติของรัฐ คือการพัฒนาและดำเนินธุรกิจอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงในประเทศและเครือข่ายใยแก้วนำแสงทั่วประเทศ

รัฐมนตรีกล่าวว่าทั้งสองบริษัทได้รับการจัดตั้งขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการของภาครัฐและเอกชนที่เพิ่มขึ้นและมีกำหนดจะเริ่มดำเนินการภายในเดือนพฤศจิกายน

ทั้งนี้ เพื่อเป็นการคลายความกังวลของผู้ให้บริการภาคเอกชน นายพันธ์ศักดิ์กล่าวว่าบริษัทใหม่ๆ จะต้องปฏิบัติตามกฎและระเบียบข้อบังคับตามที่กระทรวงกำหนดไว้สำหรับผู้ประกอบการรายอื่นๆ เพื่อจะได้ส่งเสริมสภาพแวดล้อมการแข่งขันของภาคเอกชน

ในแง่ของภูมิทัศน์ทางธุรกิจ พบว่ายังคงมีช่องว่างในการเติบโต ทั้งนี้ ตัวเลขประมาณการอย่างเป็นทางการแสดงให้เห็นว่า 1 ใน 3 ของจำนวน 22 ล้านครัวเรือน เท่านั้นในประเทศไทยที่ใช้บริการบรอดแบนด์ ดังนั้น จึงเป็นโอกาสสำหรับผู้ให้บริการ รวมไปถึงการเปิดให้บริการด้านโครงสร้างพื้นฐานแก่ตลาดที่มุ่งขยายความต้องการผลิตภัณฑ์ด้านนวัตกรรม และการใช้ข้อมูลที่สูงขึ้น

สถานะ "เอเชียน ไทเกอร์"

การกำหนดขอบเขตให้ชัดเจนของการส่งมอบบริการจะช่วยแก้ปัญหาเรื่องข้อจำกัดที่ระบุไว้ในดัชนีนวัตกรรมโลกประจำปี พ.ศ. 2560 (GII) ซึ่งพบว่าประเทศไทยยังตามหลังประเทศอื่นๆ ในด้านโครงสร้างพื้นฐานและการเข้าถึงด้านไอซีที และอยู่ในอันดับที่ 71 ในหมวดนี้

รายงานประจำปี ซึ่งจัดทำขึ้นโดยมหาวิทยาลัยคอร์เนลล์, สถาบันอินซีด (INSEAD) และองค์การทรัพย์สินทางปัญญาแห่งโลก (WIPO) ได้จัดประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 51 จาก 127 ประเทศ ซึ่งอยู่สูงขึ้นหนึ่งอันดับจากปีที่แล้วและสูงขึ้นสี่อันดับจากปี พ.ศ. 2558

รายงานดังกล่าวยังระบุว่าในขณะที่ประเทศสิงคโปร์ ซึ่งเป็นประเทศที่จัดอยู่อันดับสูงสุดในกลุ่มประเทศขนาดเล็กหรือกลุ่มประเทศเกิดใหม่ในเอเชีย คู่แข่งอย่างเช่นประเทศไทยกำลังตามตีตื้นอย่างรวดเร็ว

ประเทศไทยยังได้รับการขนานนามให้เป็นหนึ่งใน "เอเชียน ไทเกอร์" หรือเสือแห่งเอเชีย พร้อมๆ กับอินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม ประเทศไทยยังได้รับการยอมรับในเรื่องการสร้างความสัมพันธ์กับเครือข่ายห่วงโซ่คุณค่าระดับภูมิภาคและระดับโลก รวมถึงมีจำนวนภาคส่วนต่างๆ มากมายที่ใช้เทคโนโลยีล้ำสมัย

รายงานยังกล่าวถึงพัฒนาการอันเป็นผลมาจาก "ประเทศไทย 4.0" ซึ่งเป็นยุทธศาสตร์ของรัฐบาลในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยนวัตกรรมและความรู้ ซึ่งมุ่งเน้นการผลิตแบบก้าวหน้า แผนยุทธศาสตร์นี้ ซึ่งเปิดตัวในปี พ. ศ. 2559 ได้มุ่งเน้นไปที่ 10 ภาคอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพสูงในการเพิ่มมูลค่าผ่านเทคโนโลยี

ประเทศไทยทำงานเพื่อพัฒนาการวิจัย

ประเทศไทยได้มุ่งเน้นการเพิ่มขีดความสามารถในการวิจัยและพัฒนา (R & D) โดยถือเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยความรู้ ในรายงาน GII ประเทศไทยได้จัดอยู่อันดับที่40 จาก 127 ประเทศในหมวดนี้ โดยมีการใช้จ่ายด้านการวิจัยและพัฒนาอยู่ที่ร้อยละ 6 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ (จีดีพี) ประกอบกับผลลัพธ์ด้านความรู้และผลผลิตด้านเทคโนโลยีและการใช้จ่ายด้านซอฟต์แวร์และการส่งออกเทคโนโลยีล้ำสมัยในระดับปานกลาง

รายงานฉบับนี้ยังระบุว่าความร่วมมือด้านการวิจัยระหว่างมหาวิทยาลัยและอุตสาหกรรมนั้นมีความแข็งแกร่งและโดยรวมอยู่อันดับที่ 40

การเพิ่มการใช้จ่ายด้านการวิจัยและพัฒนา การสร้างความเชื่อมโยงใหม่ๆ ระหว่างมหาวิทยาลัยและภาคเอกชนเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้ประเทศบรรลุเป้าหมายที่กำหนดไว้ในประเทศไทย 4.0นายไพรินทร์ ชูโชติถาวร ประธานสถาบันวิทยสิริเมธี กล่าว

"ด้วยความมุ่งมั่นของรัฐบาลในการปรับปรุงระบบการวิจัยในประเทศไทย ทำให้ประเทศเรามีเงินกองทุนสำหรับงานวิจัยในระดับชาติอย่างน้อยร้อยละ 1 ของจีดีพี" เขากล่าวกับอ๊อกซ์ฟอร์ด บิสซิเนส กรุ๊ป หรือ โอบีจี "จนถึงขณะนี้เราใช้จ่ายเพียงแค่ร้อยละ 0.4 ของจีดีพี เทียบกับมาเลเซีย ซึ่งใช้จ่ายอยู่ที่ร้อยละ 1.26 หรือเกาหลีใต้ที่ร้อยละ 4.29 "

ข้อมูลเศรษฐกิจไทยฉบับนี้ผลิตโดย อ็อกซ์ฟอร์ด บิสซิเนส กรุ๊ป

ข่าวประชาสัมพันธ์ล่าสุด

๐๓ ม.ค. ไทยยูเนี่ยนรับสองรางวัลด้านแรงงาน ตอกย้ำความสำเร็จด้านความรับผิดชอบต่อสังคมและชุมชนแบบยั่งยืน
๐๓ ม.ค. คิม ยูคยอม ฉลองปีใหม่ครั้งแรกริมทะเลหัวหิน สุดอลังการกับพลุกว่า 3,000 ดอก 'Amazing Thailand Hua Hin Countdown
๐๓ ม.ค. เตรียมพบ 5 ที่สุดของความว้าวในงาน WOW Festival 2025 ส่งความสนุก ปลุกพลังคน พร้อมสร้างเมืองน่าอยู่ 11-19 ม.ค. นี้ ที่
๐๓ ม.ค. เคทีซีร่วมสร้างอนาคตใหม่ ส่งมอบเงินกว่า 25 ล้านบาท ช่วยเหลือผู้ลี้ภัยผ่าน UNHCR
๐๓ ม.ค. โฟร์ซีซั่นส์ ประเทศไทย ร่วมกับ จิม ทอมป์สัน เผยโฉม The Thai Explorer's Collection ร่วมออกเดินทางสู่โลเคชันสุดไอคอนิกทั่วเมืองไทยผ่านลายพรินต์เอ็กซ์คลูซีฟ
๐๓ ม.ค. โฮมโปร มอบประสบการณ์ช้อปสุดพิเศษ ให้ได้ช้อปคุ้มจัดเต็ม ทุกวันพุธ พิเศษเฉพาะสมาชิกโฮมการ์ด
๐๓ ม.ค. ถิรไทย คว้ารางวัลระดับประเทศ! ตอกย้ำผู้นำอุตสาหกรรมเศรษฐกิจหมุนเวียน
๐๓ ม.ค. เรื่องลับๆ ของผู้ชาย ที่ควรรู้ : หูดข้าวสุก
๐๓ ม.ค. แพลททินัม ฟรุ๊ต คว้ารางวัลผู้ส่งออกยอดเยี่ยม จากเวที Prime Minister's Export Award 2024
๐๓ ม.ค. จังซีลอน เตรียมจัดงาน มหกรรมเจ้าตูบยักษ์พบผองเพื่อนต้อนรับวันเด็ก