ต่อมา เมื่อวันที่ 3 ตุลาคม สภาวิศวกรได้ส่งคณะผู้ชำนาญการพิเศษ เข้าตรวจสอบสาเหตุการวิบัติของนั่งร้านเหล็กที่รองรับน้ำหนักของคอสะพานดังกล่าว ร่วมกับวิศวกรจากกรมทางหลวงชนบท และจากบริษัทที่ปรึกษาควบคุมงานก่อสร้าง ซึ่งจากการสำรวจ สภาวิศวกรได้ตั้งข้อสันนิษฐานสาเหตุของการพังถล่ม ไว้ 2 ปัจจัยหลัก คือ 1. การก่อสร้างนั่งร้านเหล็กรองรับคอสะพานอาจไม่ได้มาตรฐานทางวิศวกรรมเนื่องจากตรวจพบข้อบกพร่องหลายจุด เช่น การเชื่อมต่อขานั่งร้าน และ การยึดโยงค้ำยันนั่งร้านไม่ได้มาตรฐาน และ 2. ขั้นตอนและวิธีการก่อสร้างสะพานเป็นไปตามแบบหรือไม่ เนื่องจากพบตำแหน่งรอยต่อขยายตัวไม่เป็นไปตามแบบ ซึ่งอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดการพังถล่มได้ อย่างไรก็ตามต้องมีการตรวจสอบว่าได้มีการขออนุญาตปรับเปลี่ยนแบบที่ใช้ก่อสร้างหรือไม่
อย่างไรก็ตาม ศ.ดร. อมร พิมานมาศ เปิดเผยว่า ในส่วนของสภาวิศวกร นั้นมีอำนาจหน้าที่ที่จะต้องเรียกตัววิศวกรที่เกี่ยวข้องทั้งหมดมาให้ข้อมูล เนื่องจากโครงสร้างสะพานดังกล่าวมีช่วงยาวถึง 120 ม. ซึ่งจัดเป็นวิศวกรรมควบคุมตามพระราชบัญญัติวิศวกร พ.ศ.2542 ดังนั้นสภาวิศวกรจะมีการดำเนินการทางจรรยาบรรณกับวิศวกรที่เกี่ยวข้องเพื่อหาสาเหตุการวิบัติที่แท้จริง และหากพบว่า มีวิศวกรที่เกี่ยวข้องไม่ปฏิบัติตามหลักวิชาการ อาจจะมีโทษสูงสุดคือเพิกถอนใบอนุญาต
สำหรับมาตรการที่สภาวิศวกรจะดำเนินการต่อไปนั้น ศ.ดร. อมร พิมานมาศ เปิดเผยว่า การพังถล่มของนั่งร้านเกิดขึ้นหลายครั้งในอดีต สภาวิศวกรจะเชิญวิศวกรโยธามาเข้ารับการฝึกอบรมในวันที่ 21 ตุลาคม ที่โรงแรมเจ้าพระยาปาร์ค โดยใช้บทเรียนจากการพังถล่มของคอสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาที่ จ. ชัยนาท ให้วิศวกรได้เรียนรู้ และระวังไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ในอนาคต อีกทั้งสภาวิศวกรกำลังจะเร่งจัดทำมาตรฐานและคู่มือสำหรับออกแบบและก่อสร้างนั่งร้านและโครงสร้างชั่วคราว เพื่อให้วิศวกรมีแนวทาง คาดว่าจะใช้เวลาจัดทำประมาณ 6 เดือน