สัญญาเงินกู้ ( Credit Facilities Agreement ) นี้แบ่งเป็น 2 ฉบับ สำหรับ โครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู ช่วงแคราย-มีนบุรี วงเงิน 31,680 ล้านบาท ระยะทางประมาณ 34.5 กิโลเมตร รวม30 สถานีและโครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลือง ช่วงลาดพร้าว-สำโรง วงเงิน 31,680 ล้านบาท ระยะทางประมาณ 30.4 กิโลเมตร รวม 23 สถานีซึ่งการลงนามในสัญญาเงินกู้ครั้งนี้ จะทำให้โครงการรถไฟฟ้าทั้งสองเส้นทางมีความพร้อมจากการที่ได้รับการสนับสนุนด้านการเงิน จากธนาคารพาณิชย์ชั้นนำรายใหญ่ 3 ราย โดยบริษัทฯ จะนำไปใช้ในการก่อสร้างสถานี ทางวิ่งยกระดับงานระบบเครื่องกล งานระบบอาณัติสัญญาณ ขบวนรถไฟฟ้าโมโนเรล รวมทั้งค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานต่างๆ ซึ่งจะทำให้โครงการสามารถดำเนินการก่อสร้างให้แล้วเสร็จตามแผนที่กำหนดไว้
นายคีรี กาญจนพาสน์ ประธานกรรมการ บริษัทนอร์ทเทิร์น บางกอกโมโนเรล จำกัด และบริษัทอีสเทิร์น บางกอกโมโนเรล จำกัด กล่าวว่า " สำหรับโครงการรถไฟฟ้าทั้งสองสายนี้เป็นระบบรถไฟฟ้ารางเดี่ยว โมโนเรล แบบยกระดับ สองสายแรกของประเทศ เป็นโครงการร่วมทุนในลักษณะ PPP Net Cost กับการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) โดยผู้ร่วมลงทุนประกอบด้วย บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) บริษัทซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) และบริษัทผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) ซึ่งผู้ถือหุ้นทั้ง 3 บริษัท จะนำความรู้ความชำนาญในสายงานที่ตนมีร่วมกันดำเนินงานโครงการทั้ง 2 เส้นทางให้แล้วเสร็จตามวัตถุประสงค์ และตามกำหนดการที่ได้ตั้งไว้ และ ในวันนี้ การที่บริษัทฯได้มีผู้สนับสนุนทางการเงินแล้วทำให้โครงการมีความพร้อมในทุกๆด้าน ทั้ง ผู้รับเหมาก่อสร้างงานโยธา ได้แก่ บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง จำกัด (มหาชน) ผู้รับจ้างจัดหาระบบรถไฟฟ้า รวมถึงขบวนรถไฟฟ้าโมโนเรล ได้แก่ กลุ่มบริษัท บอมบาดิเอร์ทั้งหมดเรียบร้อยแล้วยิ่งทำให้เรามีความมั่นใจว่าจะทำให้โครงการสามารถลงมือก่อสร้างได้ทันทีหลังจากที่การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยได้ส่งมอบพื้นที่ให้กับบริษัทฯ โดยมีกำหนดแล้วเสร็จพร้อมจะเปิดให้บริการในปี2563 ผมขอถือโอกาสนี้ขอขอบคุณทั้งธนาคารกรุงเทพ ธนาคารกรุงไทย และธนาคารไทยพาณิชย์ ที่ร่วมให้การสนับสนุนโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู ช่วงแคราย – มีนบุรี และโครงการรถไฟฟ้า สายสีเหลือง ช่วงลาดพร้าว –สำโรงเพื่อให้ประชาชนได้รับความสะดวกในการเดินทาง"
นายชาติศิริ โสภณพนิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ธนาคารเป็นผู้นำในการจัดหาเงินกู้สนับสนุนโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าทั้ง 2 สายดังกล่าวโดยมีวงเงินสินเชื่อระยะยาว (Term Loan) ในรูปแบบการปล่อยกู้ร่วม (Syndicate Loan) รวมทั้งสิ้น 63,360 ล้านบาท ในส่วนนี้ธนาคารกรุงเทพมีส่วนการปล่อยสินเชื่อคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 33% ของวงเงินกู้รวมในโครงการนี้ หรือคิดเป็นวงเงินประมาณ 21,120 ล้านบาท โดยจะทยอยเบิกจ่ายตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2560
"โครงการนี้นับเป็นโครงการก่อสร้างสาธารณูปโภคพื้นฐานที่ดีเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาระบบขนส่งมวลชนในประเทศตลอดจนเป็นปัจจัยตั้งต้นที่จะช่วยกระตุ้นให้เกิดการลงทุนภาคเอกชนในแต่ละระดับเกิดการจ้างงานและการบริโภคตามมาอันเป็นปัจจัยสำคัญที่ผลักดันให้เศรษฐกิจทั้งระบบหมุนเวียนและเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง"
นายวีระพงศ์ ศุภเศรษฐศักดิ์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ธนาคารกรุงไทยมีความสัมพันธ์อันดีกับผู้ร่วมลงทุนของโครงการนี้มาแต่ยาวนาน ทั้ง บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน), บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) และบริษัท ผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) สำหรับการสนับสนุนทางการเงินของธนาคารกรุงไทยเพื่อลงทุนในโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู ช่วงแคราย-มีนบุรี และสายสีเหลือง ช่วงลาดพร้าว-สำโรงในครั้งนี้ นอกจากจะเป็นการสนับสนุนด้านธุรกิจของกลุ่มผู้ลงทุนแล้ว ยังเป็นการส่งเสริมและสนับสนุนโครงการก่อสร้างสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานที่สำคัญของประเทศ ซึ่งที่ผ่านมาด้วยผลงานการก่อสร้างระดับชั้นแนวหน้าของบริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) ที่ประสบความสำเร็จ อาทิ โครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงบางใหญ่ – บางซื่อ, โครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ช่วงท่าพระ – หลักสอง, โครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีเขียว ช่วงหมอชิต – สะพานใหม่ – คูคต เป็นต้น ทำให้ธนาคารมั่นใจได้ว่าการก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพูและสายสีเหลืองจะสำเร็จตามแผนที่วางไว้ และด้วยความสามารถในการบริหารจัดการเดินรถไฟฟ้าของกลุ่มบีทีเอส มากว่า 24 ปี ยิ่งทำให้มั่นใจได้ว่าโครงการดังกล่าวจะสามารถสร้างรายได้เพิ่มขึ้นให้กลุ่มผู้ร่วมลงทุน และนับเป็นอีกหนึ่งความสำเร็จของการพัฒนาสาธารณูปโภคครั้งสำคัญในระดับประเทศ
นายวศิน ไสยวรรณ รองผู้จัดการใหญ่อาวุโส ผู้บริหารสูงสุด Multi-Corporate Segment และผู้บริหารสูงสุด Corporate Segment ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า การลงทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานโดยเฉพาะด้านระบบขนส่งมวลชนเป็นสิ่งที่มีความสำคัญต่อการพัฒนาประเทศในระยะยาว ธนาคารไทยพาณิชย์มีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้มีส่วนร่วมสนับสนุนทางการเงินให้กับกิจการร่วมค้าบีเอสอาร์ (BSR Joint Venture) เพื่อดำเนินการก่อสร้างและประกอบกิจการโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพูช่วงแคราย-มีนบุรี และสายสีเหลืองช่วงลาดพร้าว-สำโรง ซึ่งถือเป็นโครงการนำร่องตามมาตรการเร่งรัดโครงการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ (PPP Fast Track) ที่ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในการเดินทางด้วยระบบขนส่งสาธารณะที่ได้มาตรฐาน สะดวกรวดเร็ว และสามารถเชื่อมต่อการเดินทางเข้าสู่ระบบรถไฟฟ้าสายหลักอื่นประกอบด้วยโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว(ส่วนต่อขยาย) (หมอชิต-คูคต), โครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง (เตาปูน-บางไผ่), โครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน (บางซื่อ-หัวลำโพง), โครงการรถไฟฟ้าสายสีแดง (บางซื่อ-รังสิต), โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม (ตลิ่งชัน-มีนบุรี) และรถไฟฟ้า Airport Rail Link อีกทั้งโครงการดังกล่าวยังเป็นองค์ประกอบสำคัญของการขับเคลื่อนแนวนโยบายการพัฒนาเมืองกระจายสู่พื้นที่รอบนอก ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อภาคเศรษฐกิจของประเทศโดยรวม ธนาคารไทยพาณิชย์มีความมุ่งมั่นและพร้อมที่จะให้การสนับสนุนการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศให้เติบโตอย่างแข็งแกร่งต่อไป