นายยุพธัชกล่าวว่า ปี 2559 เราเปิดโรงงานแห่งที่ 2 ด้วยเงินลงทุนกว่า 200 ล้านบาท เพื่อเปิดโรงงานผลิตปุ๋ยที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม(Green Industry) บนพื้นที่กว่า 30 ไร่ ณ อ.นครหลวง จ.พระนครศรีอยุธยา พร้อมกระบวนการผลิตแบบ 1 ต่อ 1 หรือที่เข้าใจง่าย ๆ คือการผลิตปุ๋ยแบบผสมทีละกระสอบ และเทคโนโลยีที่เลือกใช้เป็นเทคโนโลยีที่ทันสมัย ทำให้ได้ปุ๋ยคุณภาพเยี่ยม ตรงตามสูตรทุกถุง การผลิตรวดเร็ว ลูกค้าตอบรับสูงมาก ทำให้ต้องขยายโรงงาน Phase 2 ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จช่วงเดือนมีนาคมปีหน้า และพร้อมเพิ่มกำลังการผลิตแบบ 100% ในช่วงกลางปี โดยยังคงคอนเซ็ปต์โรงงานผลิตปุ๋ยที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม(Green Industry) เหมือนเดิม สำหรับการเพิ่มเครื่องหมายการค้าแบรนด์..หัวคนป่า..เพื่อรองรับทุกตลาดและครอบคลุมทุกกลุ่มพืช ซึ่งเป็นตลาดกลุ่มใหญ่และมีมูลค่าสูงกว่ากลุ่มที่เคยทำอยู่ แต่แผนการตลาดยังคงใช้รูปแบบเดิมคือเน้นสินค้าที่มีคุณภาพ และสร้างการรับรู้การใช้ผลิตภัณฑ์อย่างถูกต้องโดยผ่านตัวแทนจำหน่าย มีการแนะนำการใช้ที่เหมาะสมให้ประโยชน์สูงสุดในพืชแต่ละประเภท ผ่านมา 1ปีแนวทางที่วางไว้ประสบความสำเร็จ ลูกค้าของเราตอบรับความเป็นปุ๋ยคุณภาพสูงในราคาที่เหมาะสม โดยปุ๋ยหัวคนป่ามูลค่าประมาณ 60% ของมูลค่ารวมทั้งธุรกิจในกลุ่ม
นายยุพธัช กล่าวถึงแนวรุกธุรกิจในปี 2561 ว่า ปี 2560 ถือว่าเป็นปีที่ดีปีหนึ่ง โดยมี 2 ปัจจัยสนับสนุน ปัจจัยแรกคือราคาพืชเกษตรซึ่งพืชหลายตัวปรับราคาสูงขึ้น โดยมีผลจากความต้องการของตลาดทั้งภายในและต่างประเทศ ทำให้เกษตรกรมีแรงจูงใจใส่ปุ๋ยบำรุงดินกันมากขึ้น ปัจจัยที่สองคือปริมาณน้ำทำให้การเพาะปลูกได้ผลผลิตและปริมาณที่ดี แม้จะมีบางพื้นที่ที่ประสบปัญหาน้ำท่วมแต่พื้นที่ส่วนใหญ่ก็สามารถเพาะปลูกได้ดีกว่า อย่างช่วง 4 เดือนแรกของปีการส่งออก พืชหลักๆ ของเราเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว หรือล่าสุดเดือนสิงหาคมที่ผ่านมาพืชหลักและสินค้าเกษตรอื่นๆ ของเราก็ส่งออกเพิ่มขึ้นถึง 17.08% คาดว่ากลุ่มธุรกิจปุ๋ยและเคมีเกษตรของไทยในปีนี้จะมีมูลค่ารวมประมาณ 140,000 ล้านบาทเศษ โดยคาดว่าปุ๋ยตราใบไม้มียอดขายเพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา 30% โดยสัดส่วนรายได้กลุ่มธุรกิจปุ๋ยและเคมีเกษตรของยิบอินซอยปีนี้ กลุ่มเคมีเกษตร 30% ปุ๋ยแบรนด์ ใบไม้ 30% และปุ๋ยแบรนด์หัวคนป่า 40% สำหรับแนวรุกธุรกิจในปี 2561 จะเน้นคุณภาพสินค้า การใช้งานอย่างถูกต้อง ถูกเวลา เหมาะสมและคุ้มค่า โดยเน้นให้ความรู้กับเกษตรกรผู้ใช้ผลิตภัณฑ์ ซึ่งนอกจากจะเป็นการลดต้นทุนของผู้เกษตรกรผู้ใช้แล้ว ยังส่งผลดีต่อผู้บริโภคได้บริโภคสินค้าเกษตรปลอดภัยอีกด้วย โดยมีการจำหน่ายสินค้าผ่านตัวแทนกว่า 200 ราย