นายสมิทธ์ กล่าวว่า การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรโลกเป็นหนึ่งในเมกะเทรนด์สำคัญในทศวรรษหน้าที่กำลังมาถึง และจะเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องไปอีกไม่ต่ำกว่า 50 ปี ซึ่งนักลงทุนควรให้ความสำคัญในการรับมือ โดยจะมีการเปลี่ยนแปลง 3 ด้านใหญ่ ได้แก่ 1.การเพิ่มขึ้นของประชากรโลก ที่จะส่งผลต่อการบริโภคปัจจัยยังชีพด้านต่างๆ ทั้งอาหาร น้ำ ที่อยู่อาศัยและพลังงาน 2. ชนชั้นกลางขยายตัวเพิ่มขึ้น ซึ่งหมายถึงความมั่งคั่งและมีกำลังซื้อเพิ่มขึ้นในแบบก้าวกระโดดสูงกว่า GDP โลก โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ จะปรับเปลี่ยนรูปแบบการดำเนินชีวิตที่ใช้จ่ายเพื่อตัวตนและสุขภาพมากขึ้น มีความต้องการบริการทางการเงิน เพื่อวางแผนการลงทุนและออมให้ชีวิตหลังเกษียณ และ 3. ซึ่งเป็นประการสำคัญคือ โลกจะเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ด้วยจำนวนผู้สูงอายุจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเช่นกัน โดยคาดว่าทั่วโลกจะมีมากกว่า 2 พันล้านคนในปี 2050
"ความต้องการของผู้สูงวัยไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะเวชภัณฑ์ โรงพยาบาล หรือการบริการทางการแพทย์เท่านั้น แต่ยังรวมถึงหลายธุรกิจที่เชื่อมโยงถึงประชากรผู้สูงอายุ เช่น กลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยวพักผ่อน บริการวางแผนทางการเงินเพื่อการเกษียณ และการประกันความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน เป็นต้น ดังนั้น แนวโน้มการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวนี้ ย่อมมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงกระทบต่อโครงสร้างเศรษฐกิจ ทรัพยากร ตลอดจนโอกาสทางธุรกิจกับบรรดาธุรกิจที่ได้ประโยชน์จากแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงสำคัญที่กำลังมาถึงนี้" นายสมิทธ์กล่าว
ทั้งนี้กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ Global Population Trend และกองทุนเปิดไทยพาณิชย์ Global Population Trend เพื่อการเลี้ยงชีพ ในช่วงแรกจะลงทุนในหน่วยลงทุนของ Fidelity Global Demographics Fund บริหารโดย Fidelity International มีนโยบายมุ่งสร้างผลตอบแทนเติบโตระยะยาว กระจายการลงทุนไปในหุ้นบริษัททั่วโลกที่ได้ประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากร ทั้งการเพิ่มจำนวนประชากร การขยายตัวของชนชั้นกลาง และสังคมผู้สูงอายุ ซึ่งจะให้น้ำหนักลงทุนหุ้นในกลุ่ม Healthcare และ Consumer ทั่วโลก ทั้งตลาดประเทศพัฒนาแล้ว และตลาดเกิดใหม่ โดยเน้นการคัดกรองหลักทรัพย์จากปัจจัยพื้นฐานเชิงลึกในหุ้นรายตัว ตลอดจนเน้นบริหารจัดการความผันผวนของพอร์ตการลงทุนให้อยู่ในระดับต่ำกว่าดัชนีอ้างอิง โดยหุ้นที่ลงทุน อาทิ Abbott Laboratories บริษัทยาและสินค้าสุขภาพจากประเทศสหรัฐอเมริกา, L'Oreal และ Estee Lauder แบรนด์เครื่องสำอางชั้นนำจากฝรั่งเศสและสหรัฐอเมริกา นอกจากนี้ยังมีสินค้าอุปโภคบริโภค อาทิ Colgate-Palmolive, Johnson&Johnson, Nestle เครือบริษัทสินค้าแฟชั่นพรีเมี่ยม LVMH เจ้าของแบรนด์สินค้า Louis Vuitton, Christian Dior, Moët Hennessy, Sephora และอื่นๆ อีกมากมาย
สำหรับผลการดำเนินงานที่ผ่านมาสามารถสร้างผลตอบแทนที่โดดเด่น โดยย้อนหลัง 1 ปีอยู่ที่ 15.6% ต่อปี 3 ปี อยู่ที่ 30.7% ต่อปี ตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบันอยู่ที่ 26.1%ต่อปี เมื่อเทียบกับดัชนีอ้างอิงอย่าง MSCI ACWI NR USD ย้อนหลัง 1 ปีอยู่ที่ 18.6% ต่อปี 3 ปี อยู่ที่ 24.0 % ต่อปี ตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบันอยู่ที่ 17.3 %ต่อปี (ที่มา : Fidelity ณ 30 กันยายน 2560)
ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทน ความเสี่ยง และ ศึกษาสิทธิประโยชน์ทางภาษีในคู่มือการลงทุน LTF RMF ก่อนตัดสินใจลงทุน ซึ่งหากไม่ได้ลงทุนตามเงื่อนไข อาจไม่ได้รับสิทธิประโยชน์ สนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมและรับหนังสือชี้ชวนได้ทุกวันทำการ ได้ที่ SCBAM Call Center โทร.02-777-7777 กด 0 กด 6 หรือผู้สนับสนุนการขายทุกราย