นายโอภาส โลพันธ์ศรี กรรมการผู้จัดการ บริษัท มาลี กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า "มาลีได้ตกลงเซ็นสัญญาความร่วมมือจัดตั้ง 2 บริษัทร่วมทุนระหว่าง บริษัท มาลี กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) และบริษัท พีที คีโน่ อินโดนีเชีย (PT Kino Indonesia Tbk) หนึ่งในบริษัทสินค้าอุปโภคบริโภคชั้นนำของประเทศอินโดนีเชียด้วยทุนจดทะเบียนของทั้ง 2 บริษัทรวมกัน 400 ล้านบาท ซึ่งเป็นทุนจดทะเบียนชำระแล้ว 50% หรือ 200 ล้านบาท ซึ่งการร่วมทุนในครั้งนี้ ถือเป็นการร่วมทุนประเทศที่ 2 หลังจากที่มาลีได้ร่วมตั้งบริษัท Monde Malee Beverage Corporation ที่ประเทศฟิลิปปินส์ในพ.ศ. 2558"
"โดยมาลีได้เลือกอินโดนีเซียเป็นหนึ่งในประเทศกลยุทธ์ในการขยายตลาด เพราะเป็นประเทศยุทธศาสตร์หลักของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เห็นได้จาก 1) จำนวนประชากรที่มีมากถึง 260 ล้านคน ซึ่งถือเป็นประเทศที่มีประชากรมากที่สุดในภูมิภาคนี้ 2) ประกอบกับจำนวนประชากรในกลุ่มชนชั้นกลางมีการเติบโตอย่างมากโดยคาคการณ์ว่าจาก 96 ล้านคนในปี 2015 จะเพิ่มเป็น 141 ล้านคนในปี 2020 และ GDP มีอัตราการเติบโตเฉลี่ย 5% ทุกปีทำให้มีระบบเศรษฐกิจที่ใหญ่ในเรื่องของกำลังการซื้อ 3) ศักยภาพในเรื่องของการกระจายสินค้าของบริษัท พีที คีโน่ อินโดนีเชีย โดยประเทศอินโดนีเซียเป็นประเทศที่มีความยากในเรื่องของการกระจายสินค้าเนื่องจากเป็นหมู่เกาะ แต่พันธมิตรของเรามีความแข็งแกร่งในการจัดจำหน่ายและกระจายสินค้า โดยมีศูนย์กระจายสินค้ากว่า 30 แห่งที่ครอบคลุมร้านค้ามากกว่า 1 ล้านแห่งในประเทศอินโดนีเซีย นอกจากนี้ ยังเป็นผู้เชี่ยวชาญในการผลิตและการทำการตลาดผลิตภัณฑ์ยอดนิยมติดอันดับต้นๆ ใน 4 เซกเมนต์ ได้แก่ ผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ส่วนบุคคล ผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่ม รวมทั้งผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับยา และยังมีหน่วยงานในการดำเนินงานวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่โดยเฉพาะอีกด้วย"
นายโอภาส กล่าวต่อว่า "สำหรับการดำเนินธุรกิจในประเทศไทย บริษัท มาลี คีโน่ ประเทศไทย จำกัด จะเน้นการทำการตลาดและการจัดจำหน่ายสินค้าในกลุ่มบริษัทคีโน่ด้วยการนำเข้าผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ส่วนบุคคล (Personal Care Products) ที่เหมาะกับกลุ่มผู้บริโภคในประเทศไทยและสำหรับการดำเนินธุรกิจในประเทศอินโดนีเซีย บริษัท พีที คีโน่ มาลี อินโดนีเซีย จำกัด จะเน้นการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ในกลุ่มเครื่องดื่ม รวมทั้งการขยายตลาดน้ำผลไม้ตรามาลี สำหรับผู้บริโภคในประเทศอินโดนีเซีย โดยขณะนี้อยู่ในช่วงของการศึกษาตลาดและพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ตรงตามความต้องการของผู้บริโภคของทั้งสองประเทศ และคาดว่าจะเริ่มดำเนินธุรกิจได้ภายในกลางปีของพ.ศ. 2561
"เรามั่นใจว่าการร่วมทุนดังกล่าวจะช่วยสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันของทั้ง 2 บริษัท ทั้งในส่วนของการขยายฐานธุรกิจเข้าไปในตลาดใหม่และสร้างความแข็งแกร่งให้กับตลาดที่ดำเนินธุรกิจอยู่แล้ว ด้วยผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายตอบโจทย์ผู้บริโภคยิ่งขึ้น รวมทั้งเป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจให้โตอย่างก้าวกระโดดได้อย่างแน่นอน" นายโอภาสกล่าวทิ้งท้าย