นายหวัง วนาไพรสณฑ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอ็พพลาย ดีบี จำกัด (มหาชน) หรือ ADB ผู้นำผลิตภัณฑ์กาวและยาแนว และผลิตภัณฑ์เม็ดพลาสติกคอมปาวด์ เปิดเผยว่า บริษัทฯ พร้อมนำหุ้นเข้าซื้อขายวันแรกในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ในวันที่ 9 พฤศจิกายนนี้ โดยใช้ชื่อย่อ 'ADB' ในการซื้อขาย ซึ่งเชื่อว่าจะได้รับความสนใจที่ดีจากนักลงทุนที่มั่นใจในศักยภาพการดำเนินธุรกิจและแผนขยายการลงทุนที่จะสร้างการเติบโตในอนาคต
ทั้งนี้ ADB มีเป้าหมายจะขยายฐานลูกค้าใหม่ในต่างประเทศ ได้แก่ กลุ่มลูกค้าในประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนหรือ AEC และจะขยายช่องทางการจำหน่ายในกลุ่มลูกค้าเดิมในทวีปแอฟริกาและเอเชีย ซึ่งเป็นตลาดที่มีศักยภาพ โดยปัจจุบันบริษัทฯ มีรายได้จากการขายผลิตภัณฑ์ 2 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มที่ 1 กลุ่มผลิตภัณฑ์กาวและผลิตภัณฑ์ยาแนว ประกอบด้วย 1.ผลิตภัณฑ์กาวชนิดต่างๆ เพื่อใช้ยึดติดวัสดุ และ 2.ผลิตภัณฑ์ยาแนว แบ่งเป็น ผลิตภัณฑ์อะคริลิกยาแนวสำหรับอุดรอยต่อที่มีความยืดหยุ่นน้อยและคงทนต่อสภาพแวดล้อมต่ำ และผลิตภัณฑ์ซิลิโคนยาแนวสำหรับอุดรอยต่อที่มีความยืดหยุ่นและคงทนต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมสูง โดยมีทั้งผลิตภัณฑ์ที่จำหน่ายภายใต้ตราสินค้าของบริษัทฯ และรับจ้างผลิต (OEM) ให้แก่เจ้าของตราสินค้าชั้นนำในระดับสากล นอกจากนี้ ยังผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์เสริมที่ใช้ร่วมกับผลิตภัณฑ์กาวเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพยึดติดวัสดุและเสริมศักยภาพของกาว
กลุ่มที่ 2 กลุ่มผลิตภัณฑ์เม็ดพลาสติกคอมปาวด์ ประกอบด้วย 1.ผลิตภัณฑ์เม็ดพลาสติกพีวีซี แบบนิ่มที่นำไปใช้ในอุตสาหกรรมสายไฟและสายเคเบิ้ล และแบบแข็งซึ่งนำไปขึ้นรูปเพื่อผลิตขอบคิ้วเฟอร์นิเจอร์ ฟิล์มฉลากบรรจุภัณฑ์ต่างๆ และข้อต่อท่อพีวีซี 2.เส้นใยสังเคราะห์โพลีโพรพิลีน เพื่อแปรรูปและใช้เป็นฟิลเลอร์ร่วมกับเม็ดพลาสติกในกระบวนการผลิตสายไฟและสายเคเบิ้ล และ 3.เม็ดเทอร์โมพลาสติกอิลาสโตเมอร์ ที่นำไปขึ้นรูปเป็นผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปตามความต้องการ
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ADB กล่าวว่า บริษัทฯ มีแผนสร้างการเติบโตในอนาคต โดยอยู่ระหว่างก่อสร้างโรงงานใหม่ในจังหวัดสมุทรปราการ คาดว่าใช้งบลงทุนรวม230 ล้านบาท เพื่อผลิตผลิตภัณฑ์กาวและยาแนว 4 รายการ แบ่งเป็นการผลิตสินค้าใหม่ ได้แก่ 1.ซิลิโคนยาแนว และ 2.โมดิฟายซิลิโคนพอลิเมอร์สำหรับยาแนว และเพิ่มกำลังการผลิตสินค้าในปัจจุบัน ได้แก่ 1.อะคริลิกยาแนว และ 2.กาวแทนตะปู โดยผลิตภัณฑ์ยาแนวนั้นมีอัตรากำไรขั้นต้นที่ดี คาดว่าโรงงานใหม่จะเริ่มผลิตและจำหน่ายเชิงพาณิชย์ได้ในไตรมาส 4/61 และจะผลิตเต็มประสิทธิภาพได้ในปี 2563 ซึ่งจะทำให้ผลิตภัณฑ์ทั้ง 4 ชนิดดังกล่าว มีกำลังการผลิตติดตั้งรวมเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 13,590 ตันต่อปี
ขณะเดียวกัน ยังอยู่ระหว่างดำเนินโครงการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์เม็ดพลาสติกคอมปาวด์ ประกอบด้วย ผลิตภัณฑ์เม็ดพลาสติกพีวีซีเพื่ออุตสาหกรรมการแพทย์ ซึ่งสามารถนำไปใช้ในการผลิตอุปกรณ์ทางการแพทย์รองรับการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ และผลิตภัณฑ์เม็ดพลาสติกฮาโลเจนฟรีเพื่อนำไปใช้ผลิตสายไฟที่ก่อให้เกิดควันและสารพิษต่ำเมื่อถูกไฟไหม้ ตอบสนองความต้องการใช้งานผลิตภัณฑ์จากพลาสติกที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
ขณะที่ ผลการดำเนินงานไตรมาส 3/60 (กรกฎาคม-กันยายน 2560) กลับมาฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า โดยมีรายได้รวม 355.17 ล้านบาท ลดลงเล็กน้อย 6.06% จากไตรมาสก่อนหน้า แต่มีกำไรสุทธิ 9.44 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 524% จากไตรมาสก่อนหน้า เนื่องจากบริษัทฯ สามารถควบคุมต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น นอกจากนี้ บริษัทฯ เชื่อว่าได้ผ่านช่วงผลการดำเนินงานที่ต่ำสุดมาแล้วในครึ่งปีแรก และกำลังจะกลับสู่ภาวะการดำเนินงานที่ดีขึ้นเหมือนที่ผ่านมาและจะดีขึ้นเรื่อยๆจากการขยายธุรกิจตามแผนงาน
"ทิศทางการดำเนินงานของ ADB จะมุ่งขยายตลาดใหม่ๆ โดยเฉพาะตลาดต่างประเทศ โดยเรามีการติดตามการเปลี่ยนแปลงความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์อย่างใกล้ชิด เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ตอบโจทย์ความต้องการในตลาด พร้อมทั้งใช้จุดแข็งของทีมวิจัยและพัฒนา (R&D) ที่พร้อมทำงานกับลูกค้าอย่างใกล้ชิดเพื่อพัฒนาสินค้าตามความต้องการเฉพาะราย" นายหวัง กล่าว
นางสุนิต วิสุทธิโกศล กรรมการผู้จัดการฝ่ายวาณิชธนกิจ บริษัทหลักทรัพย์ อาร์เอชบี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุน กล่าวว่า มีความเชื่อมั่นใน ADB ว่าจะเป็นบริษัทฯ ที่มีศักยภาพการเติบโตที่ดีในอนาคตและจะเป็นหุ้นที่ได้รับความสนใจจากนักลงทุน เนื่องจากมีทีมผู้บริหารที่มีประสบการณ์ดำเนินธุรกิจมากกว่า 30 ปีและมีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล โดยมีการกำหนดยุทธศาสตร์มุ่งไปสู่การพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ที่มีอัตรากำไรที่ดีหรือเป็นสินค้านวัตกรรมที่มีมูลค่าเพิ่ม เพื่อรุกไปยังตลาดที่มีการแข่งขันไม่รุนแรงหรือมีผู้พัฒนาสินค้าเพียงไม่กี่ราย
ขณะเดียวกัน ADB ยังมีความพร้อมด้านสินค้าที่หลากหลายและบริการอย่างครบวงจรแบบวันสต็อปเซอร์วิส รวมถึงมีจุดแข็งด้านทีม R&D ที่ถือเป็นหัวใจสำคัญในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ที่ตรงกับความต้องการในตลาด หรือพัฒนาสินค้าที่มีคุณสมบัติตรงกับความต้องการของลูกค้าแบบเฉพาะราย ช่วยสร้างความได้เปรียบในเชิงการแข่งขันทั้งในและต่างประเทศ