สศก. เปิดผลวิเคราะห์ 6 จังหวัดนำร่อง สู่แนวทางปรับเปลี่ยนการผลิต ดึง Agri-Map ช่วยเกษตรกร

พุธ ๑๕ พฤศจิกายน ๒๐๑๗ ๑๔:๔๘
นายภูมิศักดิ์ ราศรี ผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการเศรษฐกิจการเกษตร สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เปิดเผยว่า ตาม พ.ร.บ. เศรษฐกิจการเกษตร พ.ศ. 2522 มาตรา 9 ได้กำหนดภารกิจของสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร ตามข้อ (2) ศึกษาและวิเคราะห์การวางแผนการผลิตทางการเกษตรแหล่งการเพาะปลูก และการเลี้ยงสัตว์ให้สอดคล้องกับสภาพดินฟ้าอากาศ แหล่งน้ำ ประเภทของเกษตรกรรม รายได้หลักของเกษตรกร และความต้องการของตลาดในประเทศและต่างประเทศ ดังนั้น เพื่อดำเนินการในเรื่องดังกล่าวให้เกิดขึ้นเป็นรูปธรรม สศก. จึงได้จัดทำโครงการบริหารจัดการเขตเกษตรเศรษฐกิจสำหรับสินค้าเกษตรที่สำคัญ โดยใช้แผนที่ Agri-Map เป็นเครื่องมือในการวิเคราะห์ เพื่อจัดทำทางเลือกประกอบการตัดสินใจของเกษตรกรในการปรับเปลี่ยนการผลิตในพื้นที่ไม่เหมาะสม โดยเลือกพื้นที่นำร่อง ใน 6 ภูมิภาค 6 จังหวัด ได้แก่ พิษณุโลก ชัยภูมิ สุราษฎร์ธานี สงขลา ชัยนาท และจันทบุรี

สศก. ได้ใช้ข้อมูลจากแผนที่ Agri-Map ที่จำแนกพื้นที่ความเหมาะสม เป็นพื้นที่เหมาะสมมาก (S1) เหมาะสมปานกลาง (S2) เหมาะสมน้อย (S3) และไม่เหมาะสม (N) ซึ่งเป็นการวิเคราะห์ความเหมาะสมทางด้านกายภาพ ควบคู่ ไปกับศึกษาวิเคราะห์ความเหมาะสมทางด้านเศรษฐกิจในการผลิตสินค้าเกษตรที่สำคัญแต่ละจังหวัด เป็นการนำเสนอหลักการคิดในการบริหารจัดการพื้นที่ เน้นการบริหารจัดการที่สอดคล้องกับศักยภาพของพื้นที่ในแต่ละจังหวัด ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายยกกระดาษ A4 ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์

โดยมีกระบวนการศึกษาวิเคราะห์ต้นทุนการผลิต/ผลตอบแทนของสินค้าเกษตรสำคัญที่มีผลต่อเศรษฐกิจการเกษตรของจังหวัดมากที่สุด 4 ชนิด เปรียบเทียบกันระหว่างการผลิตในพื้นที่เหมาะสม (S1,S2) กับพื้นที่ไม่เหมาะสม (S3,N) รวมทั้ง ศึกษาวิเคราะห์ อุปสงค์ อุปทาน และวิถีการตลาด ของสินค้าเกษตรดังกล่าว แล้วนำมาวิเคราะห์ แนวทางการบริหารจัดการพื้นที่ เบื้องต้นเสนอทางเลือกในการปรับเปลี่ยนการผลิตในพื้นที่ไม่เหมาะสมสำหรับปลูกข้าว เพื่อลดผลผลิตข้าวให้สมดุลกับความต้องการของตลาด โดยปรับเปลี่ยนเป็นสินค้าทางเลือกอื่น มีเกณฑ์การพิจารณาสินค้าทางเลือก

1) เป็นสินค้าที่มีความเหมาะสมทางด้านกายภาพในพื้นที่ที่จะปรับเปลี่ยน 2) ให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่ากว่าสินค้าเดิม 3) มีตลาดรองรับและสอดคล้องกับความต้องการ อาทิ ตลาดในประเทศ ตลาดส่งออก และโรงงาน แปรรูป ทั้งนี้ ได้นำผลการศึกษาเบื้องต้นนำเสนอในที่ประชุมร่วมระหว่าง เจ้าหน้าที่ของหน่วยงานภาครัฐ ผู้นำเกษตรกร และผู้แทนจากศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร (ศพก.) เพื่อรับฟังข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะมาปรับปรุงผลการศึกษาให้สอดคล้องกับข้อเท็จในพื้นที่ให้มากที่สุด กล่าวได้ว่าเป็นผลการศึกษาแบบมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในระดับพื้นที่ ดังนี้

จังหวัดพิษณุโลก (ภาคเหนือ) เสนอให้ปรับเปลี่ยนพื้นที่ปลูกข้าวไม่เหมาะสมที่มีอยู่จำนวนมากในอำเภอ นครไทย บางระกำ ชาติตระการ พรหมพิราม และวังทอง ไปเป็นพืชทางเลือกอื่น เช่น อ้อยโรงงาน (มีต้นทุนการผลิต 9,857 บาท/ไร่ และผลตอบแทนสุทธิ 272 บาท/ไร่) ให้ผลตอบแทนคุ้มค่ากว่าปลูกข้าว และมีโรงงานในพื้นที่ภาคเหนือรองรับผลผลิตมากถึง 9 โรง มะม่วงน้ำดอกไม้ส่งออก (มีต้นทุนการผลิตตั้งแต่ปลูกจนถึงให้ผลผลิต 14,280 บาท/ไร่และผลตอบแทนสุทธิ 20,220 บาท/ไร่) ยังเป็นที่ต้องการของตลาดในแถบเอเชียอย่างญี่ปุ่น จีน เกาหลีใต้ มาเลเซีย และตลาดโซนยุโรป และกล้วยน้ำว้า (อายุ 2-3 ปี มีต้นทุนการผลิต 2,515 บาท/ไร่ และผลตอบแทนสุทธิ 8,015 บาท/ไร่) เป็นสินค้าที่สร้างชื่อของจังหวัด ซึ่งมีโรงงานแปรรูปและ กลุ่มการผลิตที่เข้มแข็ง

จังหวัดชัยภูมิ (ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ) สินค้าทางเลือกที่ทดแทนการปลูกข้าวในพื้นที่ไม่เหมาะสม เช่น ส้มโอ (ขาวแตงกวา) (มีต้นทุนการผลิตตั้งแต่ปลูกจนถึงให้ผลผลิต 10,600 บาท/ไร่ และผลตอบแทนสุทธิ 24,950 บาท/ไร่) เน้นการผลิตคุณภาพเพื่อการส่งออก ของเกษตรกรในอำเภอบ้านแท่น ที่มีราคาจำหน่ายอยู่ที่กิโลกรัมละ 40 – 45 บาท และ กล้วยหอมทอง (อายุ 2-3 ปี มีต้นทุนการผลิต 16,645 บาท/ไร่ และผลตอบแทนสุทธิ 6,124 บาท/ไร่) เน้นคุณภาพเพื่อการส่งออกเช่นเดียวกัน แหล่งผลิตที่สำคัญคือ ตำบลถ้ำวัวแดง อำเภอหนองบัวแดง ตลาดส่งออกที่สำคัญ เช่น เวียดนาม และจีนเป็นต้น

จังหวัดสุราษฎร์ธานี (ภาคใต้) การผลิตยางพาราทั้งในพื้นที่เหมาะสม (S1) และพื้นที่ไม่เหมาะสม (N) ให้ผลตอบแทนสุทธิต่ำกว่าเมื่อเทียบกับผลตอบแทนสุทธิการผลิตปาล์มน้ำมัน ทุเรียน และ มะพร้าว ทั้งในพื้นที่เหมาะสม (S1) และพื้นที่ไม่เหมาะสม (N) จึงเสนอให้มีการปรับเปลี่ยนการผลิตยางพารา ไปเป็นปาล์มน้ำมัน ทุเรียน มะพร้าว และเสนอกิจกรรมเสริมในกรณีไม่ปรับเปลี่ยนการผลิตยางพารา โดยปลูกพืชร่วมยางและพืชแซมยาง เช่น

ผักเหลียง มีผลผลิตประมาณ 500-1,100 กก./ไร่ ต้นทุน 9,000 บาท/ไร่ เกษตรกรจะมีรายได้ 25,000-54,000 บาท/ไร่ สละ มีผลผลิตประมาณ 1,700 กก./ไร่ ต้นทุน 28,000 บาท/ไร่ เกษตรกรจะมีรายได้ 59,500 บาท/ไร่ ไม้ตัดดอก (หน้าวัว) มีผลผลิตประมาณ 16,000-22,000 ดอก/ไร่/ปี ต้นทุน 44,400-51,700 บาท/ไร่ เกษตรกรจะมีรายได้ 68,750-80,000 บาท/ไร่ กล้วยหอมทอง มีผลผลิตประมาณ 2,000-3,600 กก./ไร่ ต้นทุน 10,000-15,000 บาท/ไร่ เกษตรกรจะมีรายได้ 20,000-36,000 บาท/ไร่ และ สมุนไพร (กระชาย) มีผลผลิตประมาณ 3-4 ตัน/ไร่ ต้นทุน 30,000 บาท/ไร่ เกษตรกรจะมีรายได้ 45,000-60,000 บาท/ไร่ โดยมีตลาดในพื้นที่ และตลาดในกรุงเทพฯ รวมทั้งตลาดในแถบจังหวัดภาคกลางรองรับผลผลิตดังกล่าว

จังหวัดสงขลา (ภาคใต้ชายแดน) เสนอแนวทางการบริหารจัดการทางเลือกกิจกรรมการเพาะปลูกยางพาราในพื้นที่ไม่เหมาะสม (N) ภายใต้สถานการณ์ยางพาราราคาตกต่ำ เกษตรกรควรหันมาพึ่งพาตนเองให้มากขึ้น ลดความเสี่ยงจากการปลูกพืชเชิงเดี่ยว โดยหันมาปลูกพืชแซมยาง เช่นมะละกอ มีต้นทุน 15,000-20,000 บาท/ไร่ ให้ผลตอบแทน 60,000-80,000 บาท/ไร่ และกล้วยหอมทอง มีต้นทุน 10,000-15,000 บาท/ไร่ ให้ผลตอบแทน 20,000-36,000 บาท/ไร่

ปลูกพืชร่วมยาง เช่น ผักเหลียง มีต้นทุน 9,000 บาท/ไร่ ให้ผลตอบแทน 25,000-54,000 บาท/ไร่ และดอกหน้าวัว มีต้นทุน 44,400-51,700 บาท/ไร่ ให้ผลตอบแทน 68,750-80,000 บาท/ไร่ เป็นต้น หรือประกอบอาชีพเสริมรายได้ในสวนยาง พร้อมทั้งน้อมนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาเป็นหลักการดำเนินชีวิตและการประกอบอาชีพ

จังหวัดชัยนาท (ภาคกลาง) เสนอทางเลือกในการปรับเปลี่ยนการปลูกข้าวในพื้นที่ไม่เหมาะสมเป็นกิจกรรมทางเลือกอื่น ได้แก่ การปลูกหญ้าเนเปียร์ เป็นพืชอาหารสัตว์ที่เกษตรกรสามารถปลูกไว้ใช้เลี้ยงปศุสัตว์และจำหน่ายให้กับเกษตรกรผู้เลี้ยงปศุสัตว์รายอื่น สามารถให้ผลตอบแทนสุทธิ 31,228 บาท/ไร่ รวมทั้งการเลี้ยงปศุสัตว์ เช่น แพะ (เลี้ยงแม่แพะ 30 ตัว เพื่อผลิตลูกแพะจำหน่ายและเกษตรกรปลูกหญ้าเนเปียร์เอง 1 ไร่ จะมีผลตอบแทนสุทธิ 201,530 บาท) และ แม่โคเนื้อพันธุ์ลูกผสม (จำนวน 3 ตัว เพื่อผลิตลูกโคจำหน่ายและเกษตรกรปลูกหญ้าเนเปียร์เอง 1 ไร่ มีผลตอบแทนสุทธิ 40,812 บาท) ซึ่งมีช่องทางการตลาดและความต้องการสูง โดยเฉพาะตลาดในประเทศ เพื่อนบ้าน นอกจากนี้ แนะนำให้เกษตรกรทำการเกษตรแบบผสมผสาน เพื่อลดความเสี่ยงจากการปลูกพืชเชิงเดี่ยว

จังหวัดจันทบุรี (ภาคตะวันออก) การผลิตสินค้าเกษตรที่สำคัญ คือ ยางพารา และไม้ผล อาทิ ลำไย ทุเรียน มังคุด และ เงาะ ซึ่งเป็นสินค้าที่สร้างรายได้จำนวนมากให้กับจังหวัด โดยสินค้าทั้ง 5 ชนิด ไม่มีปัญหาในการบริหารจัดการภายในจังหวัด แต่เมื่อพิจารณาภาพรวมระดับประเทศ สินค้ายางพาราที่มีปัญหาราคาตกต่ำ จึงเสนอให้เกษตรกรปลูกพืชแซมยางหรือปลูกพืชร่วมยาง เพื่อเพิ่มรายได้และทำให้เกษตรกรมีรายได้ตลอดทั้งปี เช่น พืชผัก พืชสมุนไพร (เร่วหอม กระวาน ไม้ตัดใบ) โดยมีตลาดในพื้นที่และตลาดในกรุงเทพมหานคร รองรับ ทั้งนี้ ในปีงบประมาณ 2561 สศก.จะดำเนินการ อีก 19 จังหวัดเพิ่มเติม

ข่าวประชาสัมพันธ์ล่าสุด

๒๒ พ.ย. รีเลชั่นชิพรีพับบลิค แนะกลยุทธ์สำคัญ นำพาธุรกิจร้านอาหารสู่ความสำเร็จ มัดใจลูกค้าให้อยู่หมัด
๒๒ พ.ย. ชมนวัตกรรมสุดล้ำในงาน METALEX 2024 หลายแบรนด์แกะกล่องเครื่องจักรครั้งแรกในงานนี้
๒๒ พ.ย. Bangkok Illustration Fair 2024 สู่การเติบโตก้าวใหญ่ในปีที่ 4
๒๒ พ.ย. ผลการจัดอันดับขีดความสามารถในการแข่งขันด้านดิจิทัลโดย IMD ประจำปี 2567 TMA เผยไทยครองอันดับ 37 ในการจัดอันดับด้านดิจิทัลปีนี้
๒๒ พ.ย. โก โฮลเซลล์ จัดเต็มสินค้า ส่งสุข สุดอร่อย เฉลิมฉลองเทศกาลส่งท้ายปี เข้มกระเช้าปีใหม่ดีมีมาตรฐาน พร้อมชู อาหารแช่แข็ง-อาหารสด
๒๒ พ.ย. กทม. จับมือสถานทูตเนเธอร์แลนด์ ประจำประเทศไทย จัดประชุมเชิงปฏิบัติการ ACTIVE Workshop เมืองเดินเท้า และจักรยานสัญจร ครั้งที่
๒๒ พ.ย. สัมผัสความหรูหราของวิลล่าริมทะเล VEYLA NATAI RESIDENCES ผ่านประสบการณ์เหนือระดับในงาน SOUL of VEYLA
๒๒ พ.ย. 'แอสเซทไวส์' จับมือ 'สยามกีฬา' เปิดศึกลูกหนังยุวชนทัวร์นาเมนต์ใหญ่แห่งปี AssetWise Siamkeela Cup 2024-25 ต่อเนื่องเป็นปีที่
๒๒ พ.ย. โรงแรมเรเนซองส์ เปิดตัว R FINDS แพลตฟอร์มดิจิทัลระดับโลก ที่จะเชื่อมมนต์เสน่ห์ชุมชนท้องถิ่นสู่นักเดินทางทั่วโลก
๒๒ พ.ย. electric.neon.lamp หยิบเพลงฮิต แม้ ใส่ฟีลดนตรีเหงาปนเศร้าในแบบ Piano Version