ดร.ทรงวุฒิ ไกรภัสสร์พงษ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ที.ซี.เจ. เอเซีย จำกัด (มหาชน) หรือ ""TCJ"" เปิดเผยว่า บริษัทรายงานผลการดำเนินงานในไตรมาส 3/60 มีกำไร 16.39 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาส 3/59 มีกำไร 1.42 ล้านบาท หรือคิดเป็นเติบโต 1,054.22 % ส่งผลให้งวด 9 เดือนมีกำไร 41.81ล้านบาท จาก 9 เดือนปีก่อนมีกำไร 9.97 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทฯ ได้รับแรงหนุนจากรายได้จากกลุ่มโลหะและงานรับเหมาเพิ่มขึ้นทำให้กำไรเติบโตในทิศทางที่ดีสะท้อนถึงพื้นฐานของบริษัทฯ ที่แข็งแกร่ง
สำหรับงบรวมของบริษัทและบริษัทฯย่อย เป็นดังนี้ ผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 3/60 บริษัทและบริษัทย่อย มีรายได้รวมอยู่ที่ 381.38 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาส3/59 ที่มีรายได้รวม 301.64 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 26.4% กำไรรวมไตรมาส 3/60 เท่ากับ 28.40 ล้านบาท เมื่อเทียบกับกำไรปีที่แล้ว ในงวดเวลาเดียวกันที่เท่ากับ 11.57 ล้านบาทหรือเพิ่มขึ้น145.5% ส่งผลให้ผลการดำเนินงานงวด 9 เดือนมีรายได้รวม 1,175.95 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากในช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวม 920.11 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 27.8% โดยรวมงวด 9เดือนของปี 2560 เท่ากับ 70.24 ล้านบาทสูงกว่าปีที่แล้วในงวดเวลาเดียวกันที่เท่ากับ 23.75 ล้านบาทหรือเพิ่มขึ้น195.8%
ขณะที่ ผลการดำเนินงานงวด 9 เดือนของบริษัทและบริษัทฯย่อยมีรายได้รวม 1,175.95 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากในช่วงเดียวกันของปี ก่อนที่มีรายได้รวม 920.11 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 27.8% ด้วยเหตุของรายได้จากกลุ่มโลหะและงานรับเหมา เพิ่มขึ้น ทำให้กำไรโดยรวมของงวด 9 เดือนเท่ากับ 70.24 ล้านบาทสูงกว่าปีที่แล้วในงวดเวลาเดียวกัน ที่เท่ากับ23.75 ล้านบาทหรือเพิ่มขึ้น 195.8%
ดร.ทรงวุฒิ กล่าวเพิ่มว่า บริษัทฯ ยังมีมุมมองเชิงบวกต่อการเติบโตของผลการดำเนินงานในไตรมาส 4/60 ส่งผลให้บริษัทฯ มั่นใจว่าผลการดำเนินงานปีนี้จะเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ คาดรายได้จะเติบโต10% และจะพลิกกลับมามีกำไรจากปี 59 มีผลขาดทุน 2.20 ล้านบาท เนื่องจากธุรกิจนำเข้า ส่งออก จำหน่าย เครื่องจักรกลที่ใช้ในงานก่อสร้าง รถยก หรือ ยานยนต์อุตสาหกรรมเพื่อการจัดการ คลังสินค้า เครนติดหลังรถบรรทุก รวมถึงธุรกิจนำเข้า ส่งออก แปรรูป จำหน่ายและติดตั้ง สินค้าประเภทเหล็กกล้าไร้สนิม ประเภท ท่อแบน แผ่น เพลาอุปกรณ์และเหล็กรูปพรรณ ที่มีทิศทางการเติบโตที่ดีอย่างต่อเนื่อง ตามงานก่อสร้างของภาครัฐยังคงได้อานิสงส์จากการเร่งรัดการลงทุน เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งนอกเหนือจากโครงการขนาดเล็กแล้ว ภาครัฐยังเร่งขยายการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ ทั้งโครงการใหม่และโครงการต่อเนื่อง
สำหรับ กลุ่มลูกค้าเป้าหมายของธุรกิจจำหน่ายสินค้าประเภทโลหะสามารถแบ่งได้เป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มผู้ค้าส่งสินค้าเหล็กและกลุ่มผู้รับเหมาขึ้นรูปและโรงงาน ซึ่งลูกค้าทั้ง 2 กลุ่มยังมีการเติบโตที่ดี และยังมีแนวโน้มเติบโตได้อีกในอนาคต จากโครงการลงทุนภาครัฐฯที่จะเข้าสู่ระบบในปีหน้า
ดร.ทรงวุฒิ กล่าวเพิ่มว่า ปัจจุบันบริษัทฯ มีอยู่ 4 ธุรกิจ แบ่งออกเป็น
1. ธุรกิจการจัดจำหน่าย เครื่องจักรกลก่อสร้าง เครื่องจักรกลอุตสาหกรรมหนัก
2. ธุรกิจจัดจำหน่ายวัสดุที่ทำจากโลหะ เพื่อจำหน่ายให้กับผู้ใช้ ผู้รับเหมา และผู้ค้าส่ง รวมถึงธุรกิจท่อเหล็กกล้าไร้สนิม ดำเนินธุรกิจผลิต และจำหน่ายท่อเหล็กกล้าไร้สนิม ล่าสุดมีคำสั่งซื้อล่วงหน้ายาวถึงปลายปี 60 และคาดว่าปีนี้จะมีการผลิตเพิ่มขึ้นเป็น 5,000 ตัน จากปีที่แล้วขายได้เพียง 4,000 ตัน
3. ธุรกิจรับเหมาติดตั้ง และตกแต่งงานวิศวกรรมด้านโลหะภัณฑ์
4. ธุรกิจรับเหมาติดตั้ง และตกแต่งงานวิศวกรรมด้านโลหะภัณฑ์
ด้านนายทัสชน ลีลาประชากุล ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ เปิดเผยว่า TCJ ยังได้รับแรงหนุนจากโครงสร้างพื้นฐานของรัฐ เพราะรับงานต่อจากผู้รับเหมารายใหญ่ คือ การเป็นผู้รับเหมาช่วง โดยมีงานเช่ารถ เพื่อก่อสร้างรถไฟฟ้า งานรถไฟทางคู่ และงานมอเตอร์เวย์ ในช่วงที่ผ่านมา และTCJ ได้รับงานตบแต่งสถานีให้รถไฟฟ้าสายสีม่วงจำนวน 8 สถานี และปัจจุบันมีงานตบแต่งสถานีสนามไชยที่จะทยอยส่งมอบไปถึงกลางปี 2561 น่าจะสนับสนุนต่อการเติบโตในระยะยาว
สำหรับ ทิศทางกิจกรรมการก่อสร้างภาคเอกชนค่อยๆฟื้นตัวในปี 2560 – 2561 โดยการลงทุนก่อสร้างที่อยู่อาศัยของภาคเอกชนจะปรับตัวดีขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป ซึ่งพบว่างานก่อสร้างที่อยู่อาศัยจะเติบโตไปตามแนวเส้นทางรถไฟฟ้าสายต่างๆ ส่วนการก่อสร้างโรงงานอุตสาหกรรมจะได้รับอานิสงส์จากโครงการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษ(Border Special Economic Zones: Border SEZs) ที่ภาครัฐจะเร่งดำเนินการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานและระบบสาธารณูปโภคในแต่ละพื้นที่ให้แล้วเสร็จในปี 2560 ซึ่งจะทำให้เกิดการลงทุนในโรงงานใหม่ๆ เพิ่มขึ้นนับจากครึ่งหลังของปี 2560 ประกอบกับ ผลจากมาตรการส่งเสริมลงทุนของคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (Board of Investment of Thailand: BOI) ดึงดูดให้ผู้ประกอบการชาวไทยและต่างชาติตัดสินใจลงทุนมากขึ้น ขณะที่การก่อสร้างอาคารพาณิชยกรรมคาดจะค่อยๆฟื้นตัวใน ปี 2560-2561 ตามภาวะเศรษฐกิจไทยและกำลังซื้อของผู้บริโภคที่ปรับตัวดีขึ้น
เขากล่าวเพิ่มว่า บริษัท คาดจะได้รับอานิสงส์ เพราะบริษัทฯ มีอุปกรณ์การก่อสร้าง วัสดุ และเครื่องจักรที่มีประสิทธิภาพ จะยิ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการก่อสร้างได้งานที่มีคุณภาพขึ้น ลดระยะเวลาการก่อสร้างและประหยัดต้นทุน โดยจะช่วยให้บริหารจัดการรับงานโครงการใหม่เพิ่มขึ้น อีกทั้ง การใช้เทคโนโลยีใหม่ที่สามารถทำให้งานก่อสร้างมีคุณภาพ จะช่วยสร้างความเชื่อมั่นในตัวผู้ประกอบการในการที่จะรับงานโครงการภาครัฐ