นายวีรพันธ์ พูลเกษ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทคอน อินดัสเทรียล คอนเน็คชั่น จำกัด (มหาชน) ผู้นำด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่ออุตสาหกรรมแบบครบวงจรในอาเซียน รายงานผลการดำเนินงานของกลุ่มบริษัทไทคอนในรอบ 9 เดือน ของปี 2560 สิ้นสุด ณ วันที่ 30 กันยายน 2560 ว่า บริษัทฯ มีรายได้รวม 1,551 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจำนวน 288 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 23 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา และมีกำไรสุทธิจำนวน 247 ล้านบาท ทั้งนี้ รายได้หลักมาจากรายได้จากค่าเช่าและค่าบริการ จำนวน 1,043 ล้านบาท โดยมีพื้นที่เช่าโรงงานเพิ่มขึ้นร้อยละ 8 และพื้นที่เช่าคลังสินค้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 18
โดย ณ สิ้นเดือนกันยายน 2560 บริษัทมียอดลูกค้าเช่าใหม่พื้นที่ของโรงงานและคลังสินค้ามากกว่า 220,000 ตารางเมตร ปัจจุบัน ไทคอนมีพื้นที่ภายใต้การบริการจัดการ จำนวนรวมทั้งสิ้น 2.7 ล้านตารางเมตร ทั้งนี้ กลุ่มลูกค้าหลักยังคงเป็นลูกค้าจากประเทศญี่ปุ่น และส่วนใหญ่อยู่ในอุตสาหกรรมผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ ผู้ให้บริการด้านโลจิสติกส์ ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ และโมเดิร์นเทรด ซึ่งการเพิ่มขึ้นดังกล่าวมาจากการที่ประเทศไทยยังคงเป็นประเทศเป้าหมายในการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติจากนโยบายภาครัฐในโครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก หรือ อีอีซี ที่เอื้อสิทธิประโยชน์มากมายให้กับผู้ประกอบการในหลายๆ อุตสาหกรรม จึงได้รับการตอบรับจากนักลงทุนต่างชาติเป็นอย่างมาก และเป็นผลให้ความต้องการโรงงานและคลังสินค้าภายในประเทศสูงขึ้นตามลำดับ
นายวีรพันธ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า "กลุ่มไทคอนมีความพร้อมในการรองรับความต้องการโรงงานและคลังสินค้าที่จะเข้ามาใช้บริการเพิ่มขึ้นในพื้นที่อีอีซี ซึ่งครอบคลุมทั้งจังหวัดฉะเชิงเทรา ชลบุรีและระยอง โดยกลุ่มไทคอนมีข้อได้เปรียบในด้านแลนด์แบงค์ในพื้นที่อีอีซีและบริเวณโดยรอบ ซึ่งมีครอบครองอยู่มากกว่า 3,000 ไร่ ยังไม่รวมที่ดินในกลุ่มพันธมิตรซึ่งพร้อมนำมาพัฒนาเป็นโรงงานและคลังสินค้าสำหรับรองรับการลงทุนในอุตสาหกรรมต่างๆ ที่กำลังจะเกิดขึ้นอีกในไม่ช้านี้อีกด้วย""
ทั้งนี้ บริษัทฯ ยังอยู่ระหว่างการพัฒนาคลังสินค้าแบบ Built to Suit เพิ่มเติม ขนาดพื้นที่รวมกว่า 29,000 ตารางเมตร คาดว่าจะส่งมอบได้ภายในสิ้นปีนี้ นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังคงขยายการลงทุนเพิ่มเติมที่ประเทศอินโดนีเซีย โดยล่าสุดมีบริษัทชั้นนำด้านอุปโภครายรายใหญ่ระดับโลกได้ลงนามพัฒนาคลังสินค้าแบบ Built to Suit 2 แห่ง รวมพื้นที่เช่ากว่า21,000 ตารางเมตร เป็นที่เรียบร้อย โดยได้เริ่มเข้าดำเนินการในคลังสินค้าทั้ง 2 แห่งแล้ว ทั้งนี้ ในปี 2561 ไทคอนได้ตั้งเป้าหมายการลงทุนในต่างประเทศเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะในกลุ่มซีแอลเอ็มวี โดยไทคอนอยู่ระหว่างการเจรจากับพันธมิตรในประเทศเวียดนามสำหรับการลงทุนขยายโรงงานและคลังสินค้า
ด้านความคืบหน้าของการควบรวมกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ทั้ง 3 กอง ไปยังกองทรัสต์ TREIT นั้น นายวีรพันธ์ กล่าวว่า ""ผู้ถือหน่วยลงทุนทั้ง 4 กองได้มีมติอนุมัติให้ไทคอน และทีแมน ทำการควบรวมกองทุนทั้งหมดเข้าด้วยกันได้ โดยในช่วงสุดท้ายของปี 2560 ไทคอนจึงอยู่ระหว่างการดำเนินการโอนทรัพย์สินของกองทุนรวม TFUND, TLOGIS และTGROWTH ให้กับกอง TREIT ซึ่งมีจำนวนทรัพย์สินกว่า 400 รายการ ที่จะต้องดำเนินการโอนให้แล้วเสร็จภายในสิ้นปี 2560 ภายหลังควบรวมแล้วเสร็จ ไทคอนตั้งเป้าขายทรัพย์สินเพิ่มเติมเข้าสู่กองทรัสต์ TREIT มูลค่ากว่า 3,500 ล้านบาท และทำให้กองทรัสต์ TREIT มีมูลค่าทรัพย์สินขนาดใหญ่ถึง 36,000 ล้านบาท""
กลุ่มไทคอน เชื่อมั่นว่า กลยุทธ์ในการควบรวมกองทุนเข้าด้วยกันนี้ จะทำให้กลุ่มไทคอนมีเครื่องมือทางการเงินที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้น ประกอบกับ ทีแมนซึ่งเป็นบริษัทในกลุ่มมีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในการบริหารจัดการการลงทุนและธุรกิจได้เป็นอย่างดี จึงเอื้อต่อการขยายการเติบโตของบริษัทฯ ในอนาคต โดยภายในปี 2561 ที่จะถึงนี้ บริษัทฯ จะมีการประกาศแผนกลยุทธ์องค์กรใหม่เพื่อนำมาปรับใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ในการผลักดันองค์กรไปสู่การเป็นผู้นำอันดับหนึ่งในตลาดอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอุตสาหกรรมในระดับอาเซียนได้ในอนาคตอันใกล้นี้