ดร.ธนาวุฒิ พรโรจนางกูร หัวหน้าสายงานจัดการกองทุน บลจ.บางกอกแคปปิตอล จำกัด เปิดเผยว่า กองทุนอีทีเอฟ (Exchange Traded Fund : ETF) ทั้ง 2 กอง ที่บริษัทออกมาเป็นทางเลือกใหม่ให้กับนักลงทุนไทยทั้ง ""กองทุนเปิด BCAP MSCI Thailand ETF FUND (BMSCITH)"" และ ""กองทุนเปิด BCAP SET100 ETF (BSET100)"" ถือว่าประสบความสำเร็จด้วยดีในแง่ของเป้าหมายกองทุนในการแทรคดัชนีอ้างอิงแล้วถือทำได้ดีมาก กอง BMSCITH มีค่าความผันผวนของส่วนต่างระหว่าง
ผลตอบแทนเฉลี่ยกองทุนรวมและผลตอบแทนดัชนีอ้างอิง (Tracking Error) ย้อนหลัง 1 ปี อยู่ที่ 0.05% เท่านั้น ในขณะที่กองทุนคู่แข่งในกลุ่มนี้ที่มี Tracking Error ดีสุดก็อยู่ที่กว่า 0.2% จะเห็นว่า Tracking Error ของกองทุน BMSCITH ต่ำกว่ามากเป็น 1 ใน 4 ของกองที่ดีสุดในกลุ่มนี้เท่านั้น ในส่วนของกอง BSET100 เนื่องจากเพิ่งจัดตั้งได้ไม่นานแต่ก็คิดว่าน่าจะใกล้เคียงกันเพราะใช้กลยุทธ์ในการแทรคดัชนีเช่นเดียวกับกอง BMSCITH ในเรื่องของสภาพคล่องในการซื้อขายเองกองทุนทั้ง 2 ก็ถือว่าประสบความสำเร็จ ทางบมจ.หลักทรัพย์ บัวหลวงที่ทำหน้าที่สร้างสภาพคล่อง (Market Maker) ให้กับกองทุนทั้ง 2 ก็สามารถทำได้เป็นอย่างดี ช่วงราคาขยับ 0.01 – 0.02 บาท เท่านั้น ซึ่งหากไปเปรียบเทียบกับกองอีทีเอฟที่มีอยู่แล้วจะพบว่าส่วนใหญ่ไม่มีสภาพคล่องในการซื้อขาย ตรงจุดนี้ก็ถือว่าประสบความสำเร็จเช่นเดียวกัน
""สำหรับลูกค้าที่ต้องการเคาะซื้อ-ขายมากกว่า 10 ล้านบาท ขึ้นไป แนะนำให้ติดต่อบมจ.หลักทรัพย์บัวหลวง ได้โดยตรง ทาง Market Maker สามารถทำให้ท่านได้ราคาเดียวทั้งจำนวนได้ เพราะหากไปเคาะในกระดานอาจจะทำให้ราคาขยับขึ้นไปหลายช่วงราคาได้ การติดต่อ Market Maker น่าจะสะดวกและมีความคล่องตัวกว่า""
ดร.ธนาวุฒิ ยังกล่าวอีกว่า จุดเด่นของกองทุนอีทีเอฟคือการบริหารเชิงรับ (Passive Management) ยังคงเป็นสิ่งที่บริษัทยังคงต้องทำกันต่อไปในการให้ความรู้ทำความเข้าใจกับนักลงทุนเพราะบริษัทมีจุดยืนชัดเจนว่าเป็นบลจ.ที่มุ่งเน้นกองทุนดัชนีและอีทีเอฟเป็นธุรกิจหลักสำหรับอุตสาหกรรมกองทุนรวมของไทย จากการเก็บข้อมูลในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาพบว่ากองทุนที่มีผลการดำเนินงานติด Top25% ที่มีผลงานดีสุดของปี มีความน่าจะเป็นมากกว่า 50% ที่ในปีถัดไปจะหล่นไปอยู่ในกลุ่มกองทุนที่มี
ผลงานอยู่ในกลุ่มท้ายตาราง ซึ่งกองทุนอีทีเอฟจะมาตอบโจทย์นี้ได้เป็นอย่างดีเพราะเป็นการลงทุนที่มีความเสี่ยงน้อยที่สุดในการเป็นทางเลือกที่จะทำให้เกิดการเลือกกองทุนที่ผิดตัว
""ในแง่ของผลการดำเนินการกองทุนอีทีเอฟถือว่าเป็นทางเลือกที่ตอบโจทย์นักลงทุน แต่เราคงต้องให้ความรู้กับนักลงทุนค่อนข้างเยอะเพื่อให้เห็นความแตกต่างระหว่างกองทุนที่บริหารเชิงรับ (Passive Fund) กับกองทุนที่บริหารเชิงรุก (Active Fund) เราคงไม่ได้บอกว่าไม่มีกองทุน Active Fund ที่สามารถเอาชนะตลาดได้อย่างสม่ำเสมอในระยะยาว ข้อเท็จจริงคือมีแต่มีไม่มากและมักจะเป็นกองทุนที่มีกลยุทธ์ในการลงทุนที่ชัดเจน ซึ่งนักลงทุนก็มีความเสี่ยงในการที่จะต้องไปเลือกผู้ชนะในระยะยาวซึ่งมีอยู่จำนวนน้อยให้เจอ ในขณะที่กองทุนอีทีเอฟซึ่งบริหารเชิงรับกลับเป็นคำตอบสำหรับทางเลือกการลงทุนที่ง่ายกว่ามาก""
ดร.ธนาวุฒิ กล่าวเสริมว่า ในปี2561 บริษัทมีแผนออกกองทุนอีทีเอฟเพิ่มเติมอีก 7 กอง โดยกองแรกของปี2561 นั้นน่าจะออกได้กลางเดือนก.พ.61 เป็นกองทุนอีทีเอฟที่ลงทุนในหุ้นขนาดกลาง และเล็กที่มีธรรมาภิบาล และจะตามมาด้วยกองอีทีเอฟหุ้นที่มีสไตล์การลงทุนที่ชัดเจน เช่น กองอีทีเอฟที่มีนโยบายลงทุนในหุ้นราคาถูก (Value Investment) เป็นต้น ซึ่งกลยุทธ์การคัดเลือกหุ้นที่ชัดเจนนี้จะคงอยู่เสมอไม่ได้ขึ้นกับผู้จัดการกองทุนแต่ประการใด บริษัทพยายามจะนำเสนอโพรดักท์กองทุนอีทีเอ
ฟที่มีสไตล์การลงทุนที่ชัดเจน ให้มีความหลากหลายเพื่อให้นักลงทุนสามารถนำไปจัดพอร์ตการลงทุนหรือกำหนดกลยุทธ์ในการลงทุนของตัวเองได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งปัจจุบันยังไม่มี ทั้งนี้กลยุทธ์ที่หลากหลาย เช่น กองอีทีเอฟหุ้นคุณค่า กองอีทีเอฟหุ้นเติบโต หรือกองอีทีเอฟหุ้นปันผล เป็นต้น
""หากมีสไตล์การลงทุนที่หลากหลายมากเพียงพอ ก็เชื่อว่าทางบริษัทหลักทรัพย์ต่างๆ ก็จะสามารถนำไปเขียนเป็นบทวิเคราะห์เพื่อแนะนำการลงทุนให้กับนักลงทุนได้มากขึ้นด้วย ตรงนั้นก็จะทำให้นักลงทุนรู้จักและสามารถเข้ามาใช้ประโยชน์จากกองทุนอีทีเอฟได้มากขึ้นด้วยเช่นกัน ในช่วง 5 ปี จากนี้เราจะทำให้กองทุน อีทีเอฟในไทยเกิดขึ้นให้ได้ ถึงจุดหนึ่งที่ตลาดอีทีเอฟในไทยโตมากพอ โอกาสที่จะทำกองอีทีเอฟต่างประเทศก็จะตามมา ซึ่งตั้งเป้าไว้ว่าภายใน 5 ปีนี้จะต้องทำให้ตลาดกองทุนอีทีเอฟในไทยเกิดขึ้นให้ได้""