นางเสาวคุณ ครุจิตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สหไทย เทอร์มินอล จำกัด (มหาชน) หรือ "PORT" กล่าวว่า " เรายินดีและมั่นใจเป็นอย่างยิ่งที่หุ้นไอพีโอ PORT (ราคา 4.50 บาท) ได้เริ่มซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเป็นวันแรก และเชื่อมั่นว่าหุ้น PORT จะได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุนสถาบันและนักลงทุนรายย่อย โดยบริษัทฯได้วางแผนที่ขยายธุรกิจ มีแผนลงทุนการจัดซื้อเรือขนส่งสินค้าชายฝั่ง (บาร์จ)เพิ่มเติมจำนวน 2 ลำ เพื่อรองรับปริมาณการขนส่งของลูกค้าที่ใช้บริการขนส่งเรือบาร์ธของบริษัทฯที่เติบโตขึ้น และโครงการติดตั้งระบบ Mobile X-Ray ของกรมศุลกากรในบริเวณท่าเรือสหไทย ซึ่งใช้ในกระบวนการตรวจสอบสินค้าที่อยู่ในตู้คอนเทนเนอร์ของกรมศุลกากร ซึ่งจะช่วยอำนวยความสะดวกให้แก่ลูกค้าทั้งผู้ส่งออกและผู้นำเข้า เนื่องจากสามารถทำการ X-ray ตู้สินค้าตามคำสั่งของกรมศุลกากรที่ท่าเรือสหไทยได้ทันที ซึ่งเมีพิธีเปิดเมื่อ 21 พฤศจิกายน 2560 และบริษัทฯยังมีลูกค้าเพิ่มอย่าง Hyundai"
นางเสาวคุณ กล่าวต่อว่า "นอกจากนี้ บริษัทฯยังมีแผนที่จะลงทุน โครงการบริหารจัดการตู้คอนเทนเนอร์ เพื่อทำธุรกิจบริหารจัดการ ซ่อมบำรุง และจัดเก็บตู้คอนเทนเนอร์ (container Depot Service) โดยบริษัทฯมีความสามารถในการรองรับตู้คอนเทนเนอร์สูงสุดประมาณ 170,000 ทีอียูต่อปี และบริษัทฯ ได้ทำการต่ออายุสัญญาเช่าที่ดินบริเวณท่าเรือสหไทยออกไปเพิ่มเติมอีก 20 ปี"
บริษัท สหไทย เทอร์มินอล จำกัด (มหาชน) ให้บริการท่าเรือเอกชนครบวงจรรายใหญ่ของประเทศไทย ให้บริการท่าเทียบเรือเชิงพาณิชย์สำหรับทั้งเรือขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ (Feeder) และเรือขนส่งชายฝั่ง (Barge) โดยท่าเรือของบริษัทฯ ตั้งอยู่ในทำเลที่สำคัญเชิงยุทธศาสตร์ของธุรกิจโลจิสติกส์ของประเทศ (อำเภอปู่เจ้าสมิงพราย จังหวัดสมุทรปราการ) ปัจจุบัน บริษัทฯ ให้บริการแบบครบวงจร ตั้งแต่ 1. ธุรกิจการให้บริการท่าเทียบเรือเชิงพาณิชย์ครบวงจร สำหรับเรือขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ (Feeder) และเรือขนส่งสินค้าชายฝั่ง (Barge) รวมถึงให้บริการบรรจุสินค้าเข้าและถ่ายสินค้าออกจากตู้คอนเทนเนอร์ (CFS) และ ซ่อมแซมทำความสะอาดตู้คอนเทนเนอร์ (Container Depot)
2. ธุรกิจการให้บริการขนส่งตู้คอนเทนเนอร์ทางบก ภายในบริเวณจังหวัดกรุงเทพมหานครและปริมณฑล และบริเวณเขตพื้นที่แหลมฉบัง 3. ธุรกิจการให้บริการพื้นที่จัดเก็บตู้คอนเทนเนอร์และคลังสินค้า โดยให้บริการพื้นที่ลานพักตู้คอนเทนเนอร์และคลังจัดเก็บสินค้ากับลูกค้า ทั้งที่เป็นเขตให้บริการปกติและปลอดภาษีอากร (Free Zone) ซึ่งปัจจุบัน บริษัทฯ ให้บริการแก่ กลุ่มผู้ผลิตรถยนต์ระดับโลก กลุ่มธุรกิจ e-commerce และอีกหลากหลายอุตสาหกรรม 4. ธุรกิจการให้บริการเกี่ยวเนื่องอื่นๆ อาทิ การให้บริการ Freight Forwarding เป็นต้น
ปัจจุบัน บริษัทฯ ได้ให้บริการท่าเรือพาณิชย์ 2 แห่งคือ ท่าเรือสหไทย และ ท่าเรือ บางกอก บาร์จ (BBT) ซึ่งเป็นบริษัทฯร่วมทุนกับสายการเดินเรือรายใหญ่ของญี่ปุ่น คือ Mitsui O.S.K. Lines (MOL) โดยในเดือนกรกฎาคมปี 2560 BBT ได้รับใบอนุญาต ICD (Inland Container Depot) ทางน้ำแห่งแรกของไทยจากกรมศุลกากรทำให้สามารถดำเนินการสินค้าขาเข้าได้ นอกจากนี้ในปี 2559 บริษัทฯ ได้ร่วมทุนกับ สายการเดินเรือ Mediterranean Shipping Company (MSC) ซึ่งถือเป็นหนึ่งในสายการเดินเรือรายใหญ่ของโลก ภายใต้ชื่อบริษัท บางกอก บาร์จ เซอร์วิส จำกัด (BBS) เพื่อให้บริการบริหารจัดการเรือขนส่งสินค้าชายฝั่ง
บริษัทฯ มีผลประกอบการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยในงวดปี 2559 บริษัทฯ มีรายได้รวม 1,080 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากรายได้รวม 841 ล้านบาทในปี 2558 และรายได้รวม 830 ล้านบาทในปี 2557 โดยส่วนใหญ่มาจากการเติบโตของปริมาณตู้คอนเทนเนอร์ที่เพิ่มขึ้น และรายได้จากการให้บริการคลังสินค้าเพิ่มขึ้น โดยบริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 74 ล้านบาทในปี 2559 เพิ่มขึ้นจากกำไรสุทธิ 25 ล้านบาทในปี 2558 และจากกำไรสุทธิ 36 ล้านบาทในปี 2557 ส่วนในงวด 9 เดือนแรกของปีนี้ บริษัทฯ มีรายได้รวมเพิ่มขึ้นเป็น 986.50 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 22 ล้านบาท เทียบกับงวดเดียวกันปีก่อน บริษัทฯ มีรายได้ 753 ล้านบาทและกำไรสุทธิ 52 ล้านบาท โดยกำไรสุทธิลดลงเนื่องจาก บริษัท บางกอก บาร์จ เทอมินอล จำกัด (BBT) ซึ่งเป็นบริษัทย่อย มีผลประกอบการขาดทุนเนื่องจากเพิ่งเริ่มดำเนินงานปลายปีก่อน และยังไม่สามารถดำเนินงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพในช่วงที่ผ่านมา โดยปัจจุบัน ภายหลังจากที่ BBT ได้รับใบอนุญาติ ICD แล้วนั้น ทำให้มีจำนวนตู้คอนเทนเนอร์ที่ผ่านท่าเรือเพิ่มขึ้น โดยคาดว่าผลการดำเนินงานของ BBT จะปรับตัวดีขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งจะส่งผลเชิงบวกต่อผลประกอบการของ PORT