อธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวต่อว่า ทุกคนในโลกโซเชี่ยล สามารถช่วยได้ โดยยึดหลัก 5 อย่า 3 ควร โดย 5 อย่า ได้แก่ 1.อย่าท้าทาย ไม่สื่อความหมายต่างๆ เช่น "ทำเลย""กล้าทำหรือเปล่า" เพราะจะยิ่งไปกระตุ้นให้เขาทำ 2.อย่าใช้คำพูดเยาะเย้ย ตำหนิ ด่าว่า เช่น "โง่" "บ้า" หรือตำหนิอื่นๆ เพราะจะยิ่งเพิ่มความคิดทางลบและเพิ่มโอกาสทำมากยิ่งขึ้น 3.อย่านิ่งเฉย การนิ่งเสมือนเป็นการสนับสนุนทางอ้อม 4.อย่าแชร์ หรือบอกต่อ หรือเผยแพร่ข้อความ หรือภาพการทำร้ายตนเองของบุคคลนั้น เพราะจะยิ่งกระตุ้นให้ผู้อื่นที่คิดจะทำร้ายตนเองเกิดการเลียนแบบได้ เข้าใจผิดว่า เป็นทางออกของปัญหา โดยเฉพาะกับผู้ที่มีสภาพจิตใจเปราะบางอยู่แล้ว และยิ่งหากผู้รับชมเป็นเด็กและเยาวชนที่ยังไม่มีวุฒิภาวะเพียงพอ ไม่ระมัดระวังในการรับสื่อ อาจเข้าใจผิดคิดว่า การทำร้ายตนเองเป็นเรื่องที่ยอมรับได้ง่าย และ 5. อย่าติดตามการถ่ายทอดสดจนจบเพราะอาจส่งผลกระทบต่อจิตใจตนเองในอนาคต เช่น เกิดความรู้สึกสะเทือนใจ เก็บไปเป็นความเครียดฝังใจ ครุ่นคิด จนนอนไม่หลับ เป็นภาพติดตาซึ่งไม่เป็นผลดีต่อสุขภาพจิต
ส่วนสิ่งที่ควรทำ 3 ควร ได้แก่ 1.ควรห้าม หรือขอให้หยุดพฤติกรรมดังกล่าว เพราะโดยทั่วไปผู้ที่คิดทำร้ายตนเอง ส่วนใหญ่จะลังเลใจ2.ควรชวนคุย ประวิงเวลาให้มีโอกาสทบทวน โดยการถามถึงความทุกข์ รับฟัง และไม่ปล่อยให้อยู่คนเดียว คิดถึงคนที่รักและเป็นห่วง แนะทางออกอื่นๆ และ 3.ควรติดต่อหาความช่วยเหลือ เช่น บุคคลที่ใกล้ชิดเขาที่สุดขณะนั้น หรือ สายด่วนสุขภาพจิต 1323 ตลอด 24 ชั่วโมง หรือ โทร 191 สมาคมสมาริตันส์ หรือสถานพยาบาลที่ใกล้ที่สุด เพื่อให้เข้าสู่ระบบบริการโดยเร็ว อธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าว