พลเอก อนันตพร กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เป็นประธานเปิดการสัมมนา"สรุปผลโครงการสนับสนุนการออกแบบเมืองอัจฉริยะ (Smart Cities-Clean Energy)"และกล่าวปาฐกถาพิเศษ ในประเด็น "ก้าวต่อไปของการพัฒนาเมืองอัจฉริยะในประเทศไทย" มีใจความสำคัญว่าปัจจุบันจำนวนประชากรไทยเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และมีอัตราการโยกย้ายเข้ามาอาศัยอยู่ในเมืองใหญ่มากขึ้นทำให้เมืองมีขนาดใหญ่และซับซ้อนกว่าอดีต จึงจำเป็นต้องส่งเสริมให้ชุมชนเมืองมีสังคมและเศรษฐกิจที่มีคุณภาพด้วยการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศมาพัฒนาระบบการขนส่งและการใช้พลังงานที่มีประสิทธิภาพ เพื่อให้ประชากรมีสุขพลานามัยที่ดี มีคุณภาพชีวิตที่ดี ภายใต้สิ่งแวดล้อมที่มีคุณภาพ สะดวก สะอาด ปลอดภัย รองรับสังคมที่จะมีความซับซ้อนยิ่งขึ้นในอนาคต
กระทรวงพลังงาน มุ่งมั่นที่จะสนับสนุนให้เกิดการพัฒนาเมืองอัจฉริยะได้อย่างเป็นรูปธรรม โดยในระยะแรกได้จัดให้มีโครงการสนับสนุนการออกแบบเมืองอัจฉริยะ ซึ่งได้รับการตอบสนองจากนักพัฒนาเมืองในทุกระดับเป็นอย่างดี ทุกเมืองที่ส่งแนวคิดเข้าร่วมโครงการ เป็นตัวอย่างที่น่าชื่นชมและควรได้รับการสนับสนุนให้เกิดขึ้นได้จริงทั้งหมด หกเมืองที่สามารถผ่านเข้ามาถึงขั้นตอนสุดท้าย แสดงให้เห็นถึงความพร้อมที่จะพัฒนาและดำเนินโครงการให้สำเร็จได้อย่างเป็นรูปธรรมมากที่สุด
ดังนั้น เพื่อสนับสนุนให้เกิดการพัฒนาเมืองอัจฉริยะได้อย่างเป็นรูปธรรม กระทรวงพลังงานจึงมี นโยบายที่จะส่งเสริมให้การพัฒนาเมืองอัจฉริยะ4ด้าน คือ1.ด้านพลังงานและสาธารณูปโภคพื้นฐานพิจารณาส่งเสริมการพัฒนาระบบผลิตไฟฟ้าเพื่อใช้เองภายในเมืองอัจฉริยะ การส่งเสริมให้ดำเนินการระบบ Micro-grid การพิจารณาส่งเสริมการส่งจ่ายและจำหน่ายไฟฟ้าภายในโครงการโดยให้ภาคเอกชนสามารถซื้อขายแลกเปลี่ยนไฟฟ้าเองได้ การส่งเสริมการลงทุนในการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทน การส่งเสริมการเดินทางโดยพาหนะที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ตลอดจนการส่งเสริมให้เมืองอัจฉริยะสามารถผลิตและให้บริการโครงสร้างพื้นฐานทั้งด้านกายภาพ(Physical Infrastructure) และโครงสร้างด้านดิจิตอล (Digital Infrastructure)ได้เองภายในขอบเขตของเมือง2.ด้านผังเมือง
และการขนส่งพิจารณาการจัดรูปผังเมืองเฉพาะสำหรับเมืองอัจฉริยะ เพื่อลดข้อจำกัดในการใช้พื้นที่สำหรับการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ และสามารถจัดผังเมืองที่ส่งเสริมให้ใช้พลังงานน้อยลงในการเดินทาง หรือ เดินหรือขี่จักรยาน ซึ่งไม่ต้องใช้พลังงานในการเดินทางได้โดยสะดวก รวมทั้งพิจารณาส่งเสริมให้เมืองอัจฉริยะสามารถให้บริการระบบขนส่งมวลชนภายในเมืองของตนเอง โดยจะให้ความสำคัญกับระบบพลังงานสะอาดเป็นหลัก3.ด้านชุมชนเมือง สิ่งแวดล้อม และการท่องเที่ยวส่งเสริมให้มีการกำหนดมาตรฐานด้านความปลอดภัย สุขภาพ การป้องกันภัยพิบัติการดูแลผู้สูงอายุ ผู้ทุพลภาพ ให้ความสำคัญกับรูปแบบการเรียนรู้ตลอดชีวิตโดยการพัฒนาแหล่งเรียนรู้ด้านต่างๆ ภายในเมืองอัจฉริยะ ตลอดจนพิจารณาความเป็นไปได้ในการให้สิทธิ หรือ สวัสดิการพิเศษสำหรับผู้อยู่อาศัย หรือ ทำงานในเมืองอัจฉริยะ กำหนดทิศทางให้เมืองอัจฉริยะเป็นแหล่งเรียนรู้ สถานที่พักผ่อน และท่องเที่ยวสำหรับครอบครัว4.ด้านการบริหารจัดการเมืองส่งเสริมให้มีระบบการบริหารจัดการเมืองอัจฉริยะเพื่อให้เมืองคงความเป็นอัจฉริยะในด้านต่างๆ ได้อย่างต่อเนื่อง เน้นการมีส่วนร่วมของชุมชน โดยใช้เทคโนโลยีดิจิทัลช่วยในการบริหารจัดการและต้องสามารถตรวจสอบข้อมูลต่างๆ ได้ตลอดเวลา
ดร.ทวารัฐ สูตะบุตร ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) และโฆษกกระทรวงพลังงานกล่าวว่า กระทรวงพลังงานมีนโยบายที่จะส่งเสริมให้การพัฒนาเมืองอัจฉริยะเกิดขึ้นได้อย่างเป็นรูปธรรม สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน จึงได้จัดทำโครงการสนับสนุนการออกแบบเมืองอัจฉริยะ โดยการสนับสนุนจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน มีสถาบันอาคารเขียวไทยเป็นผู้ดำเนินโครงการ เพื่อกระตุ้นและให้การสนับสนุนหน่วยงานภาครัฐ องค์กรเอกชน ในการออกแบบและพัฒนาเมือง หรือโครงการในลักษณะชุมชนเมืองไปสู่เมืองอัจฉริยะโดยโครงการที่ผ่านการพิจารณามี 6 โครงการดังนี้ โครงการมหาวิทยาลัยอัจฉริยะ 32รู้รักษ์พลังงาน 32สู่การพัฒนาที่ยั่งยืนโดย นิด้า โครงการ มช. (เมือง) มหาวิทยาลัยอัจฉริยะพลังงานสะอาดโครงการเมืองจุฬาฯ อัจฉริยะ โครงการต้นแบบเมืองมหาวิทยาลัยอัจฉริยะ โดย มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิตและโครงการวิสซ์ดอม32วัน-โอ-วันโครงการขอนแก่น Smart City (ระยะที่ ๑) : ขนส่งสาธารณะเปลี่ยนเมืองซึ่งโครงการทั้งหมดนี้ จะเป็นส่วนสำคัญที่จะกระตุ้นให้เกิดการพัฒนาเมืองอัจฉริยะให้เกิดขึ้นได้ในประเทศของเราต่อไป
นายนินนาท ไชยธีรภิญโญประธานสถาบันอาคารเขียวไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า การพัฒนาเมืองอัจฉริยะหรือ"Smart City"จะช่วยลดปัญหาทางด้านสิ่งแวดล้อม ปัญหามลภาวะทางอากาศ น้ำเสีย ขยะ การระบายน้ำ ช่วยส่งเสริมสภาพแวดล้อมที่ดี คุณภาพอากาศที่ดี เพิ่มพื้นที่สีเขียว สนับสนุนให้เกิดการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ และส่งเสริมให้เกิดการพัฒนานวัตกรรมเชิง สร้างสรรค์ ตลอดจนจะเป็นการบ่มเพาะให้เกิดการพัฒนาธุรกิจใหม่ได้ในอนาคต