สำหรับผลการดำเนินงานของกองทุน K-SELECT ที่ผ่านมา นางสาวธิดาศิริกล่าวว่า หากนับรวมการจ่ายปันผลในครั้งนี้ด้วย กองทุนมีการจ่ายปันผลแล้วทั้งสิ้น 25 ครั้ง รวมเป็นอัตรา 11.64 บาทต่อหน่วย โดยในรอบผลดำเนินงาน 1 ปีที่ผ่านมา (รอบบัญชี 1 ธ.ค. 59- 30 พ.ย. 60) จ่ายปันผลรวมทั้งสิ้นในอัตรา 0.76 บาทต่อหน่วย หรือสามารถคิดเป็นอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลเฉลี่ย (Dividend Yield) อยู่ที่ 8.93% ต่อปี ขณะที่กองทุน K-SELECT มีผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปีอยู่ที่ 17.36% โดยสามารถเอาชนะเกณฑ์มาตรฐาน (SET TRI) ซึ่งอยู่ที่ 15.98% (ข้อมูล ณ 30 พ.ย. 60) ทั้งนี้เป็นผลมาจากการกลยุทธ์การคัดเลือกหุ้นเด่นที่มีศักยภาพสูง รวมถึงการคัดเลือกหุ้นที่มีความสามารถในการสร้างกำไรได้ดีและได้รับประโยชน์จากวงจรเศรษฐกิจ
ส่วนกองทุน K-PROP ซึ่งเพิ่งจัดตั้งไปเมื่อ 1 มิ.ย. 59 ที่ผ่านมา กองทุนมีการจ่ายปันผลแล้วทั้งสิ้น 5 ครั้ง รวมเป็นอัตรา 1.23 บาทต่อหน่วย หน่วย โดยในรอบผลดำเนินงาน 6 เดือนที่ผ่านมา (รอบบัญชี 1 มิ.ย. 60 - 30 พ.ย. 60) กองทุนจ่ายปันผลไปแล้ว 2 ครั้ง รวมทั้งสิ้นในอัตรา 0.85 บาทต่อหน่วย หรือสามารถคิดเป็นอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลเฉลี่ย (Dividend Yield) อยู่ที่ 8.13% ต่อปี ขณะที่กองทุนดังกล่าวมีผลตอบแทนย้อนหลัง 6 เดือนอยู่ที่ 8.42% โดยสามารถเอาชนะเกณฑ์มาตรฐาน ซึ่งอยู่ที่ 8.38% และผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปี อยู่ที่ 10.35% โดยสามารถเอาชนะเกณฑ์มาตรฐาน ซึ่งอยู่ที่ 9.56% (ข้อมูล ณ 30 พ.ย. 60)
นางสาวธิดาศิริกล่าวต่อไปว่า ภาพรวมเศรษฐกิจไทยยังเติบโตต่อเนื่องด้วยแรงหนุนจากการส่งออก การท่องเที่ยวและการลงทุนภาครัฐ ขณะที่ตัวเลขผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนไตรมาส 3/2560 ที่ออกมา เริ่มเห็นการฟื้นตัวของการบริโภคในประเทศ ซึ่งปรับตัวดีขึ้นตามเศรษฐกิจในภาพรวม ช่วยหนุนบรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นให้ยังคงมีความน่าสนใจ แม้ว่าระดับ Valuation ปัจจุบันจะสูงกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต แต่ยังถือว่าน่าสนใจเมื่อเทียบกับอัตราดอกเบี้ยในประเทศที่ทรงตัวอยู่ในระดับต่ำ ทั้งนี้บลจ.กสิกรไทย คาดการณ์ดัชนีหุ้นไทยปลายปี 2561 อยู่ที่ระดับ 1,820 จุด สำหรับกลยุทธ์การลงทุนรายอุตสาหกรรมจะให้น้ำหนักการลงทุนในกลุ่มธุรกิจค้าปลีก กลุ่มธนาคาร ซึ่งได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ และกลุ่มนิคมอุตสาหกรรมที่ได้รับประโยชน์จากโครงการภาครัฐอย่างโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC)
"ด้านมุมมองการลงทุนในกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์และกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ทั้งในประเทศไทยและสิงคโปร์อ บลจ.กสิกรไทยยังมีมุมมองเป็นบวก เนื่องจากในภาพรวมยังได้รับปัจจัยหนุนจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก ขณะที่ธนาคารกลางหลักอย่างสหรัฐฯ และยุโรป ยังคงดำเนินนโยบายการเงินแบบระมัดระวัง ทั้งนี้ในส่วนของอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยยังอยู่ในทิศทางที่ดี โดยได้อานิสงค์จากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยที่ยังทรงตัว ขณะที่กองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ในประเทศสิงคโปร์ปรับตัวขึ้นค่อนข้างดีโดยเฉพาะกลุ่มอาคารสำนักงานที่ค่าเช่าน่าจะผ่านจุดต่ำสุดแล้ว ซึ่งเป็นผลมาจากสภาพเศรษฐกิจของสิงคโปร์ที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเห็นได้จากดัชนีค้าปลีก และยอดขายที่อยู่อาศัยซึ่งเติบโตดีขึ้น" นางสาวธิดาศิริกล่าว
ผู้ที่สนใจลงทุนในกองทุน K-SELECT และกองทุน K-PROP สามารถติดต่อขอรับหนังสือชี้ชวนและสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ KAsset Contact Center 02673 3888