นายสุขสันต์ เจียมใจสว่างฤกษ์ ประธานคณะผู้บริหาร ธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรม และกรรมการผู้จัดการใหญ่ (ร่วม) ซีพีเอฟ กล่าวว่า ซีพีเอฟเป็นผู้ผลิตอาหารชั้นนำระดับโลก ที่มุ่งสร้างมูลค่าเพิ่มจากเกษตรอุตสาหกรรมสู่อาหารที่มีนวัตกรรม ขยายธุรกิจและสร้างการเติบโตจากกิจการที่ไปลงทุนในแต่ละประเทศมากขึ้น เพื่อรักษาความเป็นผู้นำในธุรกิจด้วยความรับผิดชอบ ที่สามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคทั่วโลกทั้งด้านคุณภาพและความปลอดภัยทางอาหาร ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ควบคู่ไปกับการดูแลชุมชนและสังคม
"UN FAO จัดอันดับให้เครือซีพีเป็นผู้ผลิตอาหารรายใหญ่อันดับ 4 ของโลก ซึ่งเราเป็นผู้ผลิตและผู้ส่งออกเนื้อสัตว์ชั้นนำ สุกร ไก่ และกุ้ง ด้วยมาตรฐานสากลและดำเนินธุรกิจด้วยหลักธรรมาภิบาล" นายสุขสันต์ กล่าวและว่า
ซีพีเอฟเดินหน้าตามกลยุทธ์สร้างการเติบโต ด้วยการเป็นผู้ผลิตสินค้าเกษตรครบวงจรที่เน้นในเรื่องคุณภาพและสุขอนามัยของสินค้าอย่างครบวงจร ตามมาตรฐานระดับโลก เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือในตราสินค้าให้กับผู้บริโภคทั่วโลก พร้อมเร่งการเติบโตและการลงทุนในต่างประเทศให้ครอบคลุมในทุกพื้นที่ ดังจะเห็นได้จากการที่ซีพีเอฟได้เข้าไปลงทุนใน 16 ประเทศทั่วโลกแล้ว ประกอบด้วย เวียดนาม กัมพูชา ลาว มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ ไต้หวัน จีน อินเดีย ศรีลังกา รัสเซีย ตุรกี โปแลนด์ เยอรมัน เบลเยี่ยม อังกฤษ และสหรัฐอเมริกา โดยในปีนี้บริษัทเข้าลงทุนเพิ่มในประเทศเยอรมันเป็นประเทศที่ 17 จากการซื้อกิจการของ Peter Paulsen คาดว่าปี 2560 บริษัทจะมียอดขายประมาณ 5 แสนล้านบาท เติบโตร้อยละ 10 และยังคงมุ่งพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารคุณภาพสูง ปลอดภัย ป้อนประชากรกว่า 4,000 ล้านคนทั่วโลก
นายสุขสันต์ ย้ำว่า ซีพีเอฟ ดำเนินธุรกิจด้วยความรับผิดชอบ ตามปรัชญา 3 ประโยชน์ (ประเทศ ประชาชน และบริษัท) ภายใต้กลยุทธ์ 3 เสาหลักสู่ความยั่งยืน ประกอบด้วย อาหารมั่นคง สังคมพึ่งตน ดินน้ำป่าคงอยู่ โดยปีนี้ซีพีเอฟได้รับคัดเลือกให้เป็นสมาชิกกลุ่มดัชนีความยั่งยืนของดาวโจนส์ หรือ DJSI (Dow Jones Sustainability Indices)เป็นปีที่ 3 ติดต่อกัน ขณะเดียวกันยังมุ่งพัฒนาทุกกระบวนการผลิตเพื่อตอบสนองต่อความต้องการอาหารตามแนวโน้มประชากรโลกที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง (มีการคาดการณ์ว่าจะมีจำนวน 10,000 ล้านคนในปีค.ศ. 2050) ตลอดจนอัตราการขยายตัวของชุมชนเมือง ทำให้มีความต้องการบริโภคอาหารที่สะดวกและถูกสุขอนามัยมากขึ้น ซึ่งถือเป็นโอกาสของซีพีเอฟ นอกจากนี้ ความก้าวหน้าของเทคโนโลยี ยังช่วยเพิ่มโอกาสในการขยายตลาด ผ่านช่องทาง E-commerce ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานด้วยระบบอัตโนมัติและการนำหุ่นยนต์มาใช้ในสายการผลิต การวิเคราะห์ข้อมูลที่แม่นยำด้วย Big Data นำไปสู่การบริหารจัดการที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิผลการผลิต และสอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วของโลก
ปัจจุบัน ซีพีเอฟมุ่งพัฒนาในทุกด้านเพื่อตอบโจทย์เรื่องอาหารยั่งยืน หรือ Food Sustainability โดยการจัดหาวัตถุดิบตลอดห่วงโซ่อุปทานตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงอาหารคุณภาพสู่ผู้บริโภค ทุกกระบวนการผลิตคำนึงถึงสังคมและสิ่งแวดล้อม ผนวกกับจุดแข็งจากการดำเนินธุรกิจครบวงจรตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ (integration model) ที่มีห่วงโซ่อุปทาน (supply chain) ที่ยาวที่สุด จากธุรกิจผลิตอาหารสัตว์ สู่ฟาร์มเลี้ยงสัตว์ จนถึงธุรกิจอาหารแปรรูป ทำให้สามารถควบคุมคุณภาพและตรวจสอบย้อนกลับได้ตลอดกระบวนการ ขณะเดียวกันยังมุ่งพัฒนาบุคลากรและประยุกต์ใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยพร้อมผลักดันให้เกิดการวิจัยอย่างต่อเนื่อง เพื่อเพิ่มขีดความสามารถสู่การเป็นผู้นำระดับโลก