กองทุนเปิดไทยพาณิชย์หุ้นตลาดเกิดใหม่ (SCBEMEQ) สำหรับผลการดำเนินงานระหว่างวันที่ 1 ธันวาคม 2559 - 30 พฤศจิกายน 2560 ในอัตรา 0.2310 บาทต่อหน่วย โดยจ่ายปันผลระหว่างกาลไปแล้ว 0.1086 บาทต่อหน่วย เมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 2560 เหลือจ่ายงวดนี้ 0.1224 บาทต่อหน่วย นับเป็นครั้งที่ 4 รวมจ่ายปันผลทั้งสิ้น 0.4040 บาทต่อหน่วย (นับจากจัดตั้งกองทุนเมื่อ 18 ธ.ค. 2555) และกองทุนเปิดไทยพาณิชย์ บิลเลียนแนร์ (SCBBLN) สำหรับผลการดำเนินงานระหว่างวันที่ 1 มิถุนายน - 30 พฤศจิกายน 2560 ในอัตรา 0.2897 บาทต่อหน่วย นับเป็นครั้งที่ 3 รวมจ่ายปันผลทั้งสิ้น 0.6175 บาทต่อหน่วย (นับจากจัดตั้งกองทุนเมื่อ 24 ก.ค.2558)
นายสมิทธ์ กล่าวว่า ภาพรวมการบริหารงานของทั้ง 3 กองทุนอยู่ในระดับที่น่าพอใจ โดยกองทุนเปิดไทยพาณิชย์หุ้นยูเอส (SCBS&P500) มีผลการดำเนินงานตั้งแต่ต้นปีอยู่ที่ 19.08% ย้อนหลัง 6 เดือนอยู่ที่ 9.67% และย้อนหลัง 1 ปี อยู่ที่ 18.03% (ข้อมูล ณ 15 ธ.ค.2560) ทั้งนี้กองทุนดังกล่าวมีนโยบายเน้นลงทุนในหน่วยลงทุน SPDR S&P 500 ETF Trust ที่บริหารจัดการโดย State Street Global Advisors ซึ่งเป็นกองทุนที่มีการบริหารจัดการแบบ passive โดยมีเป้าหมายที่จะสร้างผลตอบแทนใกล้เคียงกับดัชนี S&P 500 และมีการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนไม่น้อยกว่าร้อยละ 90
กองทุนเปิดไทยพาณิชย์หุ้นตลาดเกิดใหม่ (SCBEMEQ) มีผลการดำเนินงานตั้งแต่ต้นปีอยู่ที่ 21.76% ย้อนหลัง 6 เดือนอยู่ที่ 8.04% และย้อนหลัง 1 ปี อยู่ที่ 22.50%(ข้อมูล ณ 15 ธ.ค.2560) ซึ่งมีนโยบายเน้นลงทุนในหน่วยลงทุน Schroder ISF QEP Global Emerging Markets เป็นกองทุนที่บริหารจัดการโดย Schroder Investment Management (Luxembourg) S.A. ซึ่งมีนโยบายลงทุนในตราสารทุนและหลักทรัพย์ที่จ่ายผลตอบแทนอ้างอิงกับดัชนี MSCI Emerging Markets Net TR และมีการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนไม่น้อยกว่าร้อยละ 90
และกองทุนเปิดไทยพาณิชย์ บิลเลียนแนร์ (SCBBLN) มีผลการดำเนินงานตั้งแต่ต้นปีอยู่ที่ 27.59% ย้อนหลัง 6 เดือนอยู่ที่ 11.80% และย้อนหลัง 1 ปี อยู่ที่ 24.20% (ข้อมูล ณ 15 ธ.ค.2560) มีนโยบายเน้นลงทุนในหุ้นในประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นหลัก โดยมีเป้าหมายที่จะสร้างผลตอบแทนใกล้เคียงกับดัชนี iBillionaire Index และมีการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนไม่น้อยกว่าร้อยละ 90
นายสมิทธ์ กล่าวว่า สำหรับตลาดหุ้นสหรัฐฯ การปฏิรูปภาษีจะส่งผลบวกต่อตลาดหุ้นในภาพรวม ซึ่งประกอบไปด้วยการลดภาษีรายได้บุคคล และภาษีในภาคธุรกิจ ที่จะส่งผลบวกโดยตรงต่อการบริโภคในประเทศ และจะช่วยสนับสนุนการจ้างงานและการลงทุนภาคเอกชนต่อไป ในขณะที่ตัวเลขเศรษฐกิจออกมาดีต่อเนื่อง
ส่วนตลาดหุ้นเกิดใหม่มองว่า ยังเป็นสินทรัพย์ที่น่าสนใจในการลงทุนเนื่องจากราคาตลาดหุ้นในภาพรวมยังถูกกว่าตลาดหุ้นประเทศพัฒนาแล้ว ขณะที่เศรษฐกิจมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่องจากการส่งออก โดยตลาดหุ้นในกลุ่ม ASEAN เช่น ไทย นับว่ามีความน่าสนใจ เนื่องจากนักลงทุนต่างชาติทำการลดการลงทุนมาตลอดตั้งแต่ต้นปีและยังปรับตัวขึ้นน้อยกว่าตลาดหุ้นอื่นในปีนี้